21 November 2006

อุปนัย

ในฐานะที่ทำวิจัยเกี่ยวกับ supervised learning หรือการเรียนรู้แบบมีตัวอย่าง ที่เป็นเทคนิคที่อาศัยการอุปนัย ซึ่งก็คือ การสรุปหรือสร้างกฎเกณฑ์หรือโมเดลจากตัวอย่างที่พบซ้ำๆ ด้วยเหตุนี้จึงมักจะสงสัยอยู่บ่อยๆ ว่า มนุษย์เราต้องการตัวอย่างจำนวนเท่าไหร่เป็นอย่างน้อย จึงสามารถหาข้อสรุปเป็นกฎเกณฑ์สำหรับพฤติกรรมได้ เคยลองอะไรเล่นๆ กับนักศึกษาอยู่เหมือนกัน คือ ลองประกาศไว้ก่อนว่าจะมีการสอบย่อยเสมอๆ โดยไม่ระบุวันที่จะมีสอบย่อยจะสุ่มเอา แต่พอลองมีสอบย่อยสัปดาห์เว้นสัปดาห์อยู่หลายๆ ครั้ง ก็พบว่าคนส่วนใหญ่จะสร้างกฎขึ้นมาว่ามีสอบย่อยสัปดาห์เว้นสัปดาห์ ถ้าสอบติดกันเมื่อไหร่ก็จะมีคนบ่นว่าทำไมสอบติดกัน

หรือที่เพิ่งเจอ ก็คือ ส่งเมลไปบอกก่อนสอบย่อยครั้งแรก ว่าจะมีสอบย่อย แต่พอครั้งที่สอง ไม่ได้ส่งเมลไป ปรากฏว่ามีนักศึกษาบ่นเหมือนกันว่าทำไมไม่เห็นส่งเมลมาบอกเลย มีตัวอย่างแค่หนึ่งตัวอย่างเท่านั้น ก็สรุปได้แล้วหรือว่าจะส่งเมลไปบอกทุกครั้ง แต่คิดว่าเรื่องนี้คงเกี่ยวกับเนื้อหาของสิ่งนั้นๆ ด้วย เช่น ความสำคัญของการสอบย่อย หรือความพอใจหรือไม่พอใจ เอาไว้ค่อยหาทางลองใหม่ :)

08 November 2006

บัตรเอทีเอ็ม

ทำบัตรเอทีเอ็มหายมาได้เกือบสองเดือนแล้ว (ดีนะที่เงินไม่หายไปด้วย ^^!) ยังไม่มีเวลาไปทำบัตรใหม่เลย โทรไปถามก็บอกว่าทำใหม่ที่สาขาไหนก็ได้ แต่พอแวะไปที่สาขาแถวฟิวเจอร์ปาร์คจริงๆ เจ้าหน้าที่ที่นั่นบอกว่าบัตรเดิมที่หายไป เป็นบัตร visa electron ไม่สามารถทำใหม่ต่างสาขาได้ ต้องกลับไปทำที่สาขาเดิม โอเค งั้นไม่เอาแล้ว ขอทำบัตรธรรมดาล่ะกัน บัตรเดิมทำไปก็ไม่ได้ใช้ ปรากฏว่าไม่ได้อีกจะทำให้ได้ใหม่เฉพาะที่เคยทำบัตรแบบนั้นที่สาขาเดิมเท่านั้น สรุปว่าทำไม่ได้อีก เฮ้อ...อะไรจะยุ่งยากขนาดนี้ สรุปว่าจนบัดนี้ก็ยังไม่ได้ทำบัตรใหม่เลย

การไม่มีบัตรเอทีเอ็มก็มีข้อดีเหมือนกันนะ เพราะช่วยให้เกิดความรอบคอบในการจัดการเงินในกระเป๋าสตางค์ขึ้นเยอะ เพราะช่วงนี้เงินสดหายาก อยากได้เงินสดก็ต้องแวะไปต่อคิวเบิกจากสาขาเท่านั้น สมัยก่อนไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนี้เท่าไหร่ คิดอยู่ตลอดว่ากดเอาจากตู้เมื่อไหร่ก็ได้ ฝากตัวไว้กับเทคโนโลยีเต็มที่ ช่วงนี้ก็อาจจะยุ่งยากหน่อย แต่ก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร แถมช่วยประหยัดการใช้จ่ายด้วย :) เพราะการไปเบิกเงินเป็นเรื่องยุ่งยาก จะใช้แต่ละทีต้องคิดหน่อยว่าจะมีเวลาไปเบิกเงินไหม เลยกะว่าจะไม่ทำบัตรไปอีกซักพักหนึ่งดีกว่าอยากรู้ว่าจะเป็นยังไงต่อไป

สุดท้ายนี้ขอบ่นหน่อยเถอะ ว่าเว็บธนาคารกรุงเทพ ส่วนที่ใช้ค้นหาสาขาของธนาคาร นี่ทำได้แย่มาก เผอิญช่วงนี้ใช้บ่อย เพราะเว็บผูกติดกับ Javascript ของ IE ต้องเปิด Windows เปิด IE เท่านั้นถึงจะใช้ได้ แถมยังจะต้องเปลี่ยนพวก locale ของ Windows ให้เป็นภาษาไทยอีก มิฉะนั้นก็จะอ่านไม่ออก เฮ้อ....เปลี่ยนให้หน่อยเถอะครับ ใช้อะไรที่มันเป็นมาตรฐานหน่อยนะ

27 October 2006

C Compiler สำหรับ PIC

ช่วงนี้เตรียมสอนแล็บใหม่เทอมหน้า ซึ่งต้องยุ่งเกี่ยวกับไมโครคอนโทรลเลอร์ที่ชื่อว่า PIC ขอจดไว้ก่อนว่ามีคอมไพเลอร์ภาษาซี ชื่อ BoostC เป็น ANSI C ไม่มีไวยากรณ์ประหลาดๆ ให้ยุ่งยากใจ นอกจากนี้ยังใจดีให้ใช้รุ่นจำกัดฟรีอีกด้วย ซึ่งจะมีข้อจำกัดเกี่ยวกับการใช้หน่วยความจำพอสมควร แต่แค่เรียนแล็บก็คงพอแล้วล่ะ ยังไม่ต้องซื้อ

Presentation

ช่วงนี้ปิดเทอม มีเวลาว่างเยอะขึ้น จึงเป็นโอกาสอันดีที่จะเตรียมการสอนสำหรับเทอมหน้าไว้ก่อน เพราะเปิดเทอมแล้วจะมีเวลาเตรียมน้อยลง ยิ่งเตรียมแบบอาทิตย์ต่ออาทิตย์ ก็จะไม่ได้เอกสารหรือสไลด์ประกอบการสอนที่ดีนัก ที่นี้ก่อนจะเตรียมการสอนก็ไปลองหาดูก่อนว่าจะใช้โปรแกรมอะไรทำสไลด์ดี ปัญหาที่สำคัญที่ทำให้ไม่ชอบใช้โปรแกรมสร้าง Presentation สำเร็จรูปอย่าง MS Powerpoint หรือ Apple Keynote ก็คือ สไลด์สำหรับการสอนวิชาทางคอมพิวเตอร์นั้น จะต้องมีสมการคณิตศาสตร์อยู่ที่เป็นจำนวนมาก ซึ่งโปรแกรมส่วนใหญ่จะไม่ได้สนับสนุนอย่างเต็มที่ เช่น จะต้องใช้โปรแกรมต่างหากในการพิมพ์สมการ (MS Office เตรียมมาให้แล้ว ส่วน Keynote ก็ต้องใช้โปรแกรมสร้างสมการจาก LaTeX เช่น LaTeXiT) เสร็จแล้วค่อยตัดเข้ามาแปะในสไลด์อีกที แถมบางครั้งก็ต้องเว้นที่ไว้ เพื่อให้แปะสมการลงในข้อความได้พอดี แต่ก็ยังมีปัญหาอยู่ เช่น ถ้าเปลี่ยนขนาดสไลด์ก็ต้องมาขยับพวกสมการใหม่หมด ทำให้เสียเวลาและแรงงานมาก

เทอมที่ผ่านมาก็เลยเปลี่ยนมาใช้ LaTeX (beamer -- คนเยอรมันมักจะใช้คำนี้เรียก projector ได้ยินครั้งแรกเล่นเอางง) ทำสไลด์ประกอบการสอนซึ่งทำให้ทำงานง่ายขึ้นเยอะ เพราะสามารถแทรกสมการเข้าไปในข้อความได้เลย สมการที่ได้ก็หน้าตาดีกว่า Equation Editor ที่มากับ MS Office เยอะ แต่จุดอ่อนของ beamer ก็คือ ปรับแต่งหน้าตาสไลด์ยาก หรือถ้าต้องการใส่อะไรแปลกๆ ลงไป ก็ต้องเสียเวลาไปหา package อื่นๆ ของ LaTeX มาลงเพิ่ม คราวนี้เปิดเทอมใหม่ก็เลยคิดจะหาวิธีการทำสไลด์แบบใหม่

อันแรกที่เจอคือ ConTeXt ซึ่งเป็น macro สำหรับ TeX เช่นเดียวกับ LaTeX แต่ต่างตรงที่ ConTeXt เน้นที่ความสะดวกในการปรับแต่งเอกสาร คือ ไม่ได้แยกส่วนจัดการหน้าตาเอกสารออกเป็น style file แบบ LaTeX แถมยังมีคำสั่งพื้่นฐานเพื่อปรับแต่งทุกๆ ส่วนได้ง่าย ทำให้เหมาะกับการเขียนเอกสารที่ไม่ได้มีรูปแบบที่กำหนดไว้แล้วเหมือน LaTeX ผู้ใช้สามารถเปลี่ยนแปลงหน้าตาได้ไม่ยาก ฉะนั้นเราจึงสามารถปรับ ConTeXt ให้เหมาะสำหรับสร้างสไลด์ได้ไม่ยากมากนัก แต่ข้อเสียของ ConTeXt คือยังมีกลุ่มผู้ใช้น้อย เอกสารหรือเว็บที่เกี่ยวข้องก็ยังไม่เยอะ และปัญหาหลักก็คือคำสั่งคล้ายกับ LaTeX เยอะเกินไป ทำให้สับสนง่าย โดยเฉพาะเวลาที่ยังไม่ชิน บวกกับการที่ ConTeXt ไม่ได้มี package ที่ออกแบบมาเพื่อการทำสไลด์โดยเฉพาะ ทำให้ขาดฟีเจอร์หลายๆ อย่าง สุดท้ายเลยตัดสินใจที่จะยังไม่ใช้

ต่อมาก็เริ่มหันมาทาง html เพิ่งไปเจอว่ามีคนทำ stylesheet และ javascript สำหรับการนำเสนองานโดยเฉพาะชื่อ S5 เท่าที่ดูก็น่าสนใจ แต่ติดปัญหาเดิมคือสมการคณิตศาสตร์ ถึงแม้ว่าตอนนี้ firefox/mozilla จะสนับสนุน mathml แล้ว แต่ภาษามันดูยุ่งยากชอบกล แถมยังมี bug อยู่บางกับเวอร์ชันบน Mac

สุดท้ายกลับไปตายรัง ขอใช้ beamer ต่อไปอีกเทอมหนึ่งก่อนละกัน

BonEcho Thai บน OS X

เห็น BonEcho หรือ Firefox 2.0 ออกมาแล้ว พี่ฮุ้ยก็ทำรุ่นตัดคำไทยสำหรับ Windows มาแล้ว แต่ยังไม่เห็นมีใครช่วยทำรุ่นสำหรับ OS X ออกมา เมื่อคืนว่างๆ เลยลองคอมไพล์ดูเอง โดยเอา patch cttex ของพี่ฮุ้ยมาใช้ เพิ่งเคยคอมไพล์ Firefox บน OS X เป็นครั้งแรก ไม่ค่อยยุ่งยากเท่าไหร่ แต่ต้องลงไลบรารี่บางส่วนเพิ่มโดยผ่าน fink ตอนแรกด้วยความที่ไม่เข้าใจ ทำให้ได้ binary เฉพาะ PowerPC (ใช้เวลาชั่วโมงกว่าๆ) เสร็จแล้วไปเจอเอกสารเกี่ยวกับวิธีสร้าง universal binary เลยลองคอมไพล์ใหม่ รอไปหนึ่งคืน ก็ได้ universal binary มา ตอนนี้เอาไปวางไว้ที่นี่ เผื่อใครสนใจก็เชิญโหลดได้

ทดสอบ

ทดสอบโพสต์ ด้วยความขี้เกียจรอให้ google ยอมให้เปลี่ยนมาใช้ Blogger beta ตอนนี้เลยเลิกอันเก่า เปลี่ยนมาใช้ beta.blogger.com ไปก่อนเลย

Bon Echo Thai on OS X

ด้วยความที่อยากใช้ Bon Echo หรือ Firefox 2.0 บน OS X แบบที่ตัดคำไทยได้ แต่ยังไม่เห็นมีใครคอมไพล์มาแจก เมื่อคืนว่างๆ เลยลองคอมไพล์ดูเอง โดยใช้ patch cttex ที่พี่ฮุ้ยทำไว้ ตอนแรกทำได้แค่ binary เฉพาะ PowerPC ต่อมาไปเจอเอกสารเกี่ยวกับวิธีสร้าง universal binary ที่ http://developer.mozilla.org/en/docs/Mac_OS_X_Universal_Binaries เลยลองคอมไพล์ใหม่ รอหนึ่งคืนได้ universal binary ออกมา เอาไปวางไว้ที่ http://ict.siit.tu.ac.th/bonecho/firefox-2.0.en-US.mac.dmg เผื่อว่าใครสนใจจะเอาไปใช้บ้างก็เชิญครับ

ส่วน Firefox เวอร์ชันใหม่ เท่าที่ลองใช้ดู ก็ไม่ต่างจากเดิมเท่าไหร่ หน้าตาแตกต่างจากเดิมไปนิดหน่อย ยังไม่ได้ลองใช้ฟังก์ชันใหม่ๆ ตอนนี้เจออย่างเดียวคือระบบจัดการ tab ดูจะดีขึ้น

29 September 2006

Marvin Minsky

วันก่อนได้เมลจากลิสต์ของ JSAI (สมาคมปัญญาประดิษฐ์ของญี่ปุ่น) ว่ามีการเผยแพร่วิดีโอคำบรรยายของศ. Marvin Minsky ซึ่งทาง JSAI ได้เชิญไปบรรยายเมื่อวันที่ 30 กันยายนปีที่แล้ว ในหัวข้อ "จะทำให้เกิดผลอย่างยิ่งใหญ่ในการวิจัยด้านปัญญาประดิษฐ์ได้อย่างไร" ดูหัวข้อแล้วน่าสนใจ วันนี้เลยพยายามโหลดไฟล์มาฟัง เพราะคิดว่าดูแบบออนไลน์คงจะไม่ไหว

Minsky ถือว่าเป็นนักวิจัยกลุ่มแรกๆ ที่บุกเบิกงานวิจัยทางด้านปัญญาประดิษฐ์ เป้นคนคิดค้น Perceptrons ซึ่งเป็นโมเดลพื้นฐานของ Artificial Neural Networks รวมทั้งเขายังเป็นคนเสนอข้อกำจัดของ Perceptrons ด้วย

ถ้าสนใจก็เชิญไปดูวิดีโอได้ที่ http://www.ai-gakkai.or.jp/jsai/minsky/ เว็บเป็นภาษาญี่ปุ่นได้เข้าใจได้ไม่ยาก เห็นว่าจะเปิดได้โหลดได้ถึงวันที่ 31 ตุลาคมนี้

19 August 2006

ภาษาไทย

เมื่อคืน (เขียนไว้ หลายอาทิตย์ก่อน จำวันไม่ได้แล้ว) ได้ดูรายการหลุมดำก่อนจบนิดหน่อย เป็นเรื่องเกี่ยวกับการใช้ภาษาของเด็กวัยรุ่นสมัยนี้ ก่อนอื่นขอออกตัวก่อนว่าโดยส่วนตัวก็ไม่ชอบการใช้ภาษาแปลกๆ พวก "ทามมาย" หรือ "ยางงาย" จะไม่มีความพยายามที่จะอ่านข้อความแบบนี้เกินสองบรรทัด และปัจจุบันก็ยังรู้สึกตะขิดตะขวงใจเสมอ เวลาผู้ประกาศข่าวกีฬาพูดว่า "มีการแข่งขันทั้งหมด 4 ชนิดกีฬา" แทนที่จะพูดว่า "มีการแข่งขันกีฬาทั้งหมด 4 ชนิด" นอกจากนี้ก็รู้สึกสนับสนุนความพยายามรณรงค์การใช้ภาษาไทยที่ถูกต้อง

แต่เมื่อดูรายการช่วงสุดท้ายเมื่อคืนนี้ ก็ยังมีความเห็นที่แตกต่าง เมื่อได้ยินคำพูดของอาจารย์เจ้าของโครงการหมอภาษา ซึ่งพูดประมาณว่า เราจะต้องรณรงค์การใช้ภาษาไทยที่ถูกต้อง เพราะไม่อย่างนั้นเราจะสูญเสียเอกลักษณ์ของชาติ หรือแม้กระทั่งเสียชาติ ฟังแล้วก็รู้สึกไม่เห็นด้วยก็เพราะส่วนตัวคิดว่าภาษาคือเครื่องมือในการติดต่อสื่อสารของมนุษย์ มันควรจะถูกปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับความต้องการและความพอใจของผู้สื่อสาร ไม่ใช่ว่าหลักภาษานั้นจะต้องถูกเคารพบูชาเป็นดั่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ห้ามละเมิด ห้ามแก้ไขหรือดัดแปลง จากอดีตถึงปัจจุบันภาษาไทยนั้นก็ใช่ว่าจะคงอยู่ตามหลักที่คนทุกวันนี้ถือว่าถูกต้อง ถ้าอย่างนั้นเราก็ควรจะใช้ว่า "เปน" เหมือนภาษาไทยเมื่อประมาณร้อยปีก่อน หรือเราก็ไม่ควรจะกำหนดหลักการ "กร่อนเสียง" ว่าเป็นหลักภาษาไทยที่ถูกต้อง อย่างเช่น "ตะวัน" ก็ควรจะกลับไปใช้อย่างเดิมว่า "ตาวัน" เพราะให้ความหมายที่ถูกต้องชัดเจนกว่า ใครจะรู้ว่าตะวันอาจจะเกิดจากความคนองปากของใครซักคนในสมัยก่อนก็ได้ หรือคำที่ออกเสียงแบบควบไม่แท้อย่างคำว่า "จริง" ผมก็เดาว่าเดิมอาจจะออกเสียงว่า "จะ-หริง" เหมือนอย่าง จรัส หรือ จริต แต่คงจะเกิดความไม่ถนัด หรือเกิดความนิยมอะไรบางอย่าง ทำให้กลายเป็นออกเสียงว่า จิง ไปในที่สุด

ผมคิดว่ายังไงภาษาไทยก็ยังคงเป็นภาษาไทยอยู่วันยังค่ำ คนไทยคงจะใช้ภาษาไทยไปอีกนาน แต่อีกร้อยปีข้างหน้าภาษาไทยคงไม่เหมือนเดิม ต่อไปเราอาจจะมี "ทามมาย" อยู่ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตฯ ก็ได้ ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องที่เราจะต้องโวยวายว่าเป็นภาษาวิบัติ เพราะถ้าภาษาไทยยังทำหน้าที่เพื่อการสื่อสารได้ ก็น่าจะเพียงพอแล้ว ผมว่าสิ่งที่เราควรทำคือรณรงค์การใช้ภาษาที่ถูกต้อง แล้วก็แนะนำให้เหตุผลว่าทำไมเราควรจะใช้ภาษาที่ถูกต้องตามหลัก ส่วนต่อไปจะเป็นยังไงนั้น ก็คงต้องปล่อยไปตามธรรมชาติ

15 August 2006

ALWAYS 三丁目の夕日

สัปดาห์ก่อนมีโอกาสดูหนังเรื่องALWAYS 三丁目の夕日 บนเครื่องบิน หลังจากอยากดูมานาน ด้วยความที่มีนักศึกษาคนหนึ่งแนะนำ แล้วก็ยังไปอ่านคำเชิญชวนในหนังสือพิมพ์มาอีก

ALWAYS 三丁目の夕日 (ซังโจเมะโนะยูฮิ) เป็นหนังแบบเรียบๆ ง่ายๆ ขนาดที่ว่าถ้าเห็นใบปิดหนังก่อน ก็คงไม่เลือกดูหนังเรื่องนี้ เพราะทำเป็นรูปเชยๆ เหมือนใบปิดหนังสมัยโบราณ ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะหนังเรื่องนี้ เป็นเรื่องราวชีวิตประจำวันของคนญี่ปุ่นเมื่อเกือบหกสิบปีที่แล้ว บทกล่าวถึงปีโชวะที่ 33 (พ.ศ.2504) หลังจากญี่ปุ่นแพ้สงครามไป 13 ปี เป็นช่วงที่ญี่ปุ่นกำลังเริ่มสร้างตัวอีกครั้ง ชีวิตผู้คนในญี่ปุ่นยังไม่สุขสบายเป็นในปัจจุบัน ส่วนใหญ่ยังคงต้องปากกัดตีนถีบ แต่อุตสาหกรรมหลายๆ ส่วนก็เริ่มก้าวหน้า เริ่มมีเศรษฐีใหม่ มีตึกใหญ่ๆ เกิดขึ้นหลายแห่ง เรื่องราวหลักของหนังเรื่องนี้ พูดถึงตัวละครต่างๆ ที่เป็นสมาชิกของชุมชนเล็กๆ แห่งหนึ่งในโตเกียว ที่ต้องต่อสู้กับปัญหาต่างๆ ชีวิตที่แตกต่างกันไป แต่สิ่งที่ทุกคนมีร่วมกันก็คือความหวัง ที่คิดว่าสิ่งต่างๆ กำลังเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี

หนังเรื่องนี้แม้จะไม่มีพระเอก หรือนางเอกเด่นๆ เป็นตัวละครหลักของเรื่อง แต่บทซึ่งเป็นจุดเด่นที่สุด ก็สามารถส่งเสริมให้ทุกคนกลายเป็นตัวเอก สามารถนำเรื่องราวเล็กๆ หลายๆ เรื่องเข้ามาปะติดปะต่อกันเป็นเรื่องราวที่สนุกสนาน และเพลิดเพลิน สร้างประทับใจให้กับคนดูได้ดี โดยไม่จำเป็นต้องสร้างความตื่นเต้น หรือเอาเทคนิคพิสดารอะไรเข้ามาช่วย ขอเพียงแค่มีบทที่น่าสนใจ และดำเนินไปอย่างสมเหตุสมผลก็เพียงพอแล้ว (สมเหตุสมผลที่ว่านี้ ไม่ได้แปลว่าจะเป็นเรื่องเกินจริงไม่ได้ แต่ถ้าจะเป็นจินตนาการ ก็ควรจะเป็นจินตนาการแบบที่มีเหตุผล) แต่ใช่ว่าหนังเรื่องนี้จะไม่ใช่เทคนิคอะไรเลย เพราะการจะสร้างญี่ปุ่นเมื่อเกือบห้าสิบปีที่แล้วขึ้นมาให้สมจริง ก็คงจะต้องอาศัยเทคนิคต่างๆ ไม่น้อย โดยสรุปแล้วเรื่องนี้เป็นหนังที่น่าสนใจ และแนะนำให้ลองไปหากันมาดู

ก่อนจบขอวกเข้ามาเรื่องการเมืองเกี่ยวกับสงครามโลกหน่อย เพราะวันนี้มีข่าวว่านายกฯ ญี่ปุ่นเดินทางไปสักการะศาลเจ้ายาสุคุนิ ในวันสิ้นสุดสงครามโลก ซึ่งก็คงจะเป็นครั้งสุดท้ายในฐานะนายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่นเพราะโคะอิซึมิ แกจะวางมือทางการเมืองในเดือนหน้านี้แล้ว เห็นข่าวแล้วก็เดาได้ทันทีว่าจีน และเกาหลีใต้คงจะประท้วงอย่างเต็มที่ เพราะศาลเจ้าแห่งนี้ตั้งขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ทหารญี่ปุ่นที่เสียชีวิตในช่วงสงครามโลก รวมถึงบรรดานายพลต่างๆ ที่ถูกประหารชีวิตในฐานะอาชญากรสงคราม โดยส่วนตัวแล้วก็ไม่ได้รู้สึกคัดค้านนายกฯ ญี่ปุ่นเท่าไรนัก เพราะมองอีกแง่หนึ่งถึงเขาจะเป็นอาชญากรสงคราม ทำความเลวร้ายไว้มากมาย แต่คนเหล่านั้นก็คือคนที่เสียชีวิตเพื่อญี่ปุ่น แต่สงสัยว่าทำไมญี่ปุ่นไม่ทำเรื่องพวกนี้ให้มันเรียบร้อยไป ทั้งๆ ที่สงครามก็ผ่านมาหกสิบกว่าปีแล้ว ถ้าหากญี่ปุ่นจะกล่าวคำขอโทษต่อชาติต่างๆ อย่างจริงใจ แล้วก็ทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลัง ญี่ปุ่นก็คงจะไม่มีชนักติดหลังอย่างทุกวันนี้ (แต่ไม่นานมานี้ก็มีข่าวว่าญี่ปุ่นเคยจะกล่าวคำขอโทษจีนสมัยนายกโอบุชิ แต่จีนไม่ยอม ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงแค่ไหน) ุ

04 July 2006

พุทธประวัติจากพระโอษฐ์

ช่วงนี้ได้อ่านหนังสือ "พุทธประวัติจากพระโอษฐ์" โดยพุทธทาส อินทปัญโญ ซึ่งเอามาพิมพ์อีกครั้ง เนื่องในโอกาส 100 ปีชาตกาลของท่านพุทธทาส หาอยู่นานเหมือนกัน เพราะถูกเอาไปหมกไว้ที่ชั้นลึกสุดในสุด (เห็นบทความเกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้ของเสถียรพงษ์ วรรณปก ในมติชนฉบับวันอาทิตย์ ทำให้เกิดความอยากรู้อยากเห็น) จริงๆ หนังสือเล่มนี้ก็เป็นพุทธประวัติของพระพุทธเจ้าเล่มหนึ่ง เนื้อหาส่วนใหญ่ก็เป็นไปในแบบที่เรารู้ๆ กันอยู่ ตัวเองก็อ่านหนังสือเกี่ยวกับพุทธประวัติมาหลายเล่มแล้ว ทำให้ตอนแรกไม่รู้สึกถึงความพิเศษอันใด แต่ความพิเศษของหนังสือเล่มนี้ คือ ท่านพุทธทาสเรียบเรียงพุทธประวัติจากพระไตรปิฎก จึงเหมือนเราได้ฟังพุทธประวัติที่เล่าจากพระพุทธองค์โดยตรง

เนื้อหาที่รู้สึกว่าสำคัญที่สุดจากหนังสือเล่มนี้คือ พุทธประวัติในช่วงก่อนการตรัสรู้ หลังจากที่พระพุทธองค์ละจากการบำเพ็ญทุกรกิริยาแล้ว ทำให้รู้ว่าพระพุทธเจ้าทรงค้นพบหลักธรรมหลายๆ อย่างก่อนที่พระองค์จะตรัสรู้ เช่น ทรงค้นพบอิทธิบาทและเบญจขันธ์ อ่านแล้วทำให้รู้สึกศรัทธาในพระพุทธเจ้ามากขึ้น เพราะเดิมไม่มีใครเคยพูดถึงหลักธรรมที่พระองค์ทรงคิดค้นได้ก่อนการตรัสรู้ เวลาอ่านพุทธประวัติก็จะรู้สึกเหมือนว่า ท่านนั่งสมาธิในคืนที่ตรัสรู้ แล้วก็ท่านก็ตรัสรู้ เข้าใจในหลักธรรมทุกๆ อย่าง โดยไม่รู้อะไรมาก่อน ซึ่งพุทธประวัติแบบนี้ดูไม่เป็นธรรมชาติ เนื้อหาส่วนนี้จึงเป็นเหมือนส่วนเติมเต็มให้กับตัวเอง ว่าพระพุทธเจ้าท่านได้ใช้เวลาคิดค้นเกี่ยวกับหลักธรรมหลายๆ อย่าง ท่านเข้าใจเรื่องราวต่างๆ ก่อนที่จะทรงเห็นแจ้งในทุกสิ่งในคืนที่พระองค์ตรัสรู้

20 June 2006

Culture Shock

เมื่อวานไปนั่งคุยกับนักศึกษาเรื่องแปลกๆ ในญี่ปุ่น ทำให้นึกน่าจะเขียนเรื่องความแตกต่างทางวัฒนธรรม หรือพฤติกรรมของคนญี่ปุ่นไว้บ้างดีกว่า

  • คนญี่ปุ่นจะมีวิธีการใช้เสียงที่ในสถานการณ์ต่างๆ ที่แตกต่างไปจากคนไทย เช่น ผู้ชายญี่ปุ่นเวลาคิดไม่ออก หรือนึกไม่ออก มักจะหายใจเข้าผ่านทางไรฟัน ได้เป็นเสียงแปลก หรือผู้หญิง (รวมทั้งผู้ชายด้วย)เวลาได้ยินเรื่องแปลกๆ หรือเรื่องที่ไม่เคยได้ยิน ไม่คาดคิดมาก่อน มักจะพูดว่า เห...... (ยิ่งยาวมาก ก็แปลว่ายิ่งแปลกใจมาก) จนทำให้รายการทีวีรายการหนึ่ง (トリビアの泉 -- Fountain of Trivia) เอาไปตั้งเป็นหน่วยวัดความแปลกใจ เรียกเป็น 1 เห, 2 เห, อะไรทำนองนี้ คือรายการนี้เขาจะให้ทางบ้านส่งเรื่องแปลกมา แล้วก็ให้แขกในรายการให้คะแนนว่าได้กี่เห เอาไปกำหนดเป็นรางวัล ยิ่งได้เหมาก ก็จะได้เงินรางวัลมาก (เห็นเมืองไทยก็มีรายการเลียนแบบ (หรือไม่ก็ซื้อมา) แต่ไม่เห็นดังเท่าในญี่ปุ่นเลย ไม่รู้เพราะอะไร ไม่รู้เขาใช้เหเหมือนกันหรือเปล่า) นอกจากนี้เวลาคนญี่ปุ่นนึกไม่ออกว่าจะพูดอะไร (ถ้าเป็นคนไทยก็มักจะ เอ่อ....) มักจะพูดว่า อะโน... หรือไม่ก็ เอ...โตะ อันแรกไม่ค่อยแปลกใจเท่าไหร่ แต่อันหลังได้ยินครั้งแรกก็งงว่าทำไมมันจะต้องลงท้ายด้วยโตะ เอ....ไปเฉยๆ ไม่ได้เหรอ แต่ก็ไม่มีใครให้คำตอบได้ แถมหลังๆ ตัวเองก็ติดคำนี้ไปเหมือนกัน อีกเรื่องนึงที่นึกออกตอนนี้ก็คือเวลาคนญี่ปุ่นจะเรียกเพื่อนที่เดินมา แต่ไม่ได้หันมามองคนเรียก เขา (เฉพาะผู้ชาย) จะพูดว่า โอ้ย โอ้ย แล้วส่วนใหญ่มันก็มักจะหันมา เคยเจอเพื่อนเรียกเหมือนกันแต่ไม่หัน ก็ใครจะไปรู้ว่ามันกำลังเรียก คิดว่ามีใครกำลังเจ็บ อีกเรื่องหนึ่งที่ตลกตอนเรียนภาษาญี่ปุ่นใหม่ๆ คือ คำทักทายตอนเช้าที่ว่าโอะฮาโย สำหรับคนที่เป็นเพื่อนแล้ว เขาจะใช้ทุกเวลา เมื่อเป็นครั้งแรกที่เจอเพื่อนคนนั้นในวันนั้น ดังนั้นแม้ว่าจะเป็นตอนหกโมงเย็น คนญี่ปุ่นก็จะโอะฮาโย ที่นี้พอเห็นเป็นคนต่างชาติ เขาก็เลยพยายามพูดภาษาอังกฤษ เลยกลายเป็น Good morning แม้ว่าจะเจอกันตอนมืดๆ ก็ตาม
  • ส่วนเรื่อง culture shock อื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับภาษา ก็น่าจะมีเรื่องการอาบน้ำในห้องน้ำรวม ตอนไปใหม่ๆ ก็รู้สึกแปลกๆ ที่จะต้องไปแก้ผ้าอาบน้ำในที่สาธารณะ จริงๆ แล้ว เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีห้องอาบน้ำสาธารณะเท่าไหร่ เพราะบ้านคนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ก็จะมีห้องอาบน้ำแล้ว ยกเว้นบ้านเช่าราคาถูก ที่จะไม่มีห้องอาบน้ำในตัว หรือมีแบบแบ่งกันใช้ แต่ว่าเวลาไปเที่ยวตามแหล่งน้ำพุร้อน ถ้าจะไปแช่น้ำพุร้อน ก็ต้องเข้าไปใช้ห้องอาบน้ำสาธารณะอยู่ดี เวลาเข้าไปอาบน้ำ ก็ต้องเข้าไปในห้องแต่งตัว ถอดเสื้อผ้าออกวางไว้ในช่องที่เขาจัดไว้ให้ของใครของมัน แล้วค่อยเดินไปบริเวณสำหรับอาบน้ำ ที่จะมีเก้าอี้ตัวเล็กไว้ให้นั่งอาบ แบ่งเป็นช่องๆ อาบน้ำเสร็จ สะอาดแล้ว จึงจะเดินไปลงแช่ในอ่างขนาดใหญ่รวมกัน ซึ่งคนไทยที่ไปอยู่ญี่ปุ่นใหม่ๆ มักจะเป็นเหมือนกันคือ ไปถึงห้องแต่งตัว ก็จะแยกย้ายกันไปถอดเสื้อผ้า ไปอาบน้ำจนเสร็จ แล้วจึงจะมาเจอกันอีกครั้งตอนแช่ในอ่างใหญ่ ที่มีน้ำช่วยอำพรางร่างกาย ประมาณว่ากับคนญี่ปุ่นที่ไม่รู้จักก็จะไม่ค่อยอายเท่าไหร่ แต่ไม่อยากเจอเพื่อนคนไทยด้วยกัน :)

06 June 2006

Postfix กับ MySQL

ช่วงนี้กำลังใกล้จะเปิดเทอม เลยมีงานหลายๆ อย่างที่จะต้องรีบทำ อย่างวันนี้ก็จัดการสร้างที่อยู่อีเมลของภาควิชาฯ ให้กับนักศึกษาปี 2 ที่กำลังจะเข้าภาคใหม่ในปีนี้ เดิมทีภาคไม่เคยมีบริการอีเมลในนักศึกษา เนื่องจากข้อจำกัดทั้งทางด้านทรัพยากรเครื่องและคน พอไม่มีก็จะทำให้ติดต่อนักศึกษาค่อนข้างยาก ไม่มีช่องทางติดต่อ อาจารย์แต่ละวิชาก็ต้องหาทางติดต่อนักศึกษากันเอง ปีนี้มีเครื่องเหลือพอทำงานได้อยู่เครื่องหนึ่ง เลยเอามาจัดการอีเมล ครั้นจะสร้างที่เก็บเมลให้เลย ก็มีพื้นที่อยู่ไม่เท่าไหร่ แล้วก็ไม่รู้จะมาเช็คกันหรือเปล่า สุดท้ายเลยเกิดแนวคิดที่จะส่งต่อเมลไปยังเมลที่นักศึกษาใช้กันประจำอยู่แล้ว ทำให้สะดวกมากขึ้น ทั้งยังลดทรัพยากรที่จำเป็นต้องใช้ด้วย

เมื่อวานนี้เลยนั่งเว็บง่ายๆ (พร้อมบัก) ด้วย php ให้นักศึกษาสามารถแก้ไขอีเมลปลายทางที่ต้องการให้ส่งต่อได้เอง ใช้ mysql เก็บข้อมูล จากนั้นก็ไปกำหนดให้ postfix ไปอ่านข้อมูลจากตารางใน mysql เพื่อส่งต่อเมล ซึ่ง postfix ก็สนับสนุนอยู่แล้ว (เพียงแต่ว่าดิสตริบัวชันส่วนใหญ่จะไม่ได้สร้างไบนารีที่สนับสนุน mysql มาให้ ก็อาจจะต้องมาสร้างแพคเกจเอาเอง) เสร็จแล้วก็ไปสร้างไฟล์ชื่ออะไรก็ได้ เพื่อกำหนดวิธีการติดต่อกับ mysql

hosts = 127.0.0.1
user = postfix
password = xxx
dbname = DB
query = SELECT forward FROM alias WHERE account = '%u'

จะเห็นว่ามีการกำหนดคำสั่ง sql ซึ่งจะเลือกข้อมูลการส่งต่อ จากอีเมลที่กำหนด (ใช้ %u หมายถึงชื่ออีเมล และ %s หมายถึงที่อยู่อีเมลทั้งหมด) จากนั้นก็ไปเพิ่มคำสั่งกำหนด alias ในไฟล์ main.cf อีกหนึ่งบรรทัดก็เป็นอันเสร็จสิ้น

alias_maps = mysql:/etc/mysql.aliases

ที่มา: Postfix MySQL Howto, Fedora Wiki, และ "man mysql_table"

CSS กับ Page break

เพิ่งรู้ว่าเราสามารถกำหนด page break ลงไปใน html ได้ด้วยความช่วยเหลือของ css เลยขอเอามาจดไว้หน่อยกันลืม พอดีวันนี้ต้องการทำ account กับ password ลงกระดาษแจกนักเรียน สร้างเป็น html ใส่ page break คั่นเป็นระยะๆ ก็ง่ายดี สวยด้วย ตอนแรกกะจะสร้าง LaTeX แต่ดูแล้วน่าจะเหนื่อยกว่า

<style>
p.pagebreak { page-break-before: always; }
</style>
<p class="pagebreak" />

ขอขอบคุณ: CSS and Printing และ Google

31 May 2006

いま、会いにゆきます

วันนี้ได้มีโอกาสดู DVD เรื่อง「いま、会いにゆきます」(อิมะ,อัยนิยุคิมัส) ซึ่งซื้อเอาไว้นานแล้ว แต่ไม่ได้ดูซักที คืนนี้หลังจากสะสางภารกิจหลักๆ ไปได้เกือบหมด เลยได้มีโอกาสดูหนังเรื่องนี้

หนังเรื่องนี้ใช้ชื่อภาษาอังกฤษว่า "Be With You" และชื่อไทยว่าปาฏิหาริย์อะไรซักอย่างที่ไม่ค่อยเข้ากับเรื่องเท่าไหร่ (จะว่าไปแล้ว ก็เข้าแหละนะ แต่มันไม่พอเหมาะเท่าชื่อญี่ปุ่นและชื่ออังกฤษ ที่แม้ว่าจะไม่ได้แปลเหมือนกันเป๊ะๆ แต่ได้ความหมายเดียวกัน) เรื่องนี้เป็นเรื่องราวของครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวหนึ่งที่ประกอบด้วย พ่อ-ทะคุมิ (巧), แม่-มิโอะ (澪), และลูกชาย-ยูจิ (佑司) ซึ่งมิโอะต้องจากโลกนี้ไปก่อนวัยอันสมควร ทิ้งลูกชายวัย 6 ขวบไว้กับพ่อ พร้อมกับคำสัญญากับลูกว่า ถ้าถึงฤดูฝนเมื่อไหร่ แม่จะกลับมา ทั้งยูจิและทะคุมิต่างก็เฝ้ารอฤดูฝน เมื่อฤดูฝนมาถึงความมหัศจรรย์ต่างๆ ก็บังเกิดขึ้น....

เรื่องนี้เล่ามากไม่ได้ เพราะจะไม่สนุก แต่ดูแล้วชอบนะ นางเอก(竹内結子)ก็ยังน่ารักเหมือนเดิม :)

「たとえ短くても、愛するあなたたちと一緒にいる未来を私は選びたい。
いま、会いにゆきます。」
"แม้ว่ามันจะเป็นช่วงเวลาอันแสนสั้น แต่ฉันก็ยังอยากเลือกอนาดตที่มีพวกคุณที่ฉันรัก
ตอนนี้ฉัน จะไปพบคุณ"

23 May 2006

Pre-paid PC

อ่านข่าวจาก ITmedia ว่า Microsoft เริ่มทดลองให้บริการ Pre-paid PC คือเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ให้เช่าไปใช้งาน และสามารถใช้งานได้โดยจ่ายค่าเช่าเป็นรายเดือน หรือใช้บัตรเติมเงิน ถ้าเงินหมดก็จะไม่สามารถใช้งานได้ เนื่องจากมีการใช้เทคโนโลยีที่ชื่อว่า FlexGo ควบคุมการทำงานของระบบอีกที

จะว่าไปแล้วก็ไม่ต่างกับการให้เช่าคอมพิวเตอร์แบบเดิมเท่าไหร่ เพียงแค่ทำให้ดูทันสมัยขึ้น แล้วก็ควบคุมการใช้งานได้ง่ายขึ้นเท่านั้นเอง และก็คงจะใช้ OS อื่นๆ นอกจาก Windows ไม่ได้ เอ...ถ้าเกิด Windows มันพังขึ้นมาจะทำยังไงเนี้ย ไม่รู้ว่า FlexGo ป้องกันที่ระดับไหน

22 May 2006

クロサギ

ช่วงนี้กำลังบ้าการ์ตูนเรื่อง คุโระซะงิ (クロサギ) ซึ่งกำลังทำเป็นละครฉายอยู่ทางช่อง TBS การ็ตูนเรื่องนี้เป็นเรื่องราวของเด็กผู้ชายคนหนึ่ง (คุโรซะคิ-黒崎) ซึ่งสูญเสียครอบครัวไป เนื่องจากพ่อของเขาถูกนักต้มตุ๋น (ชิโระซะงิ-シロサギ) หลอกโกงเงินไปจนหมดตัว ทำให้คิดสั้น ฆ่าแม่ น้องสาว (พี่สาว?) รวมทั้งฆ่าตัวตายตามไป คุโระที่รอดเหลืออยู่คนเดียว (ด้วยเหตุใดก็ยังไม่เฉลย) จึงพยายามแก้แค้นโดยทำตัวเป็นนักต้มตุ๋น ที่หลอกเอาเงินจากนักต้มตุ๋นทั้งหลาย โดยนำเงินที่ได้ ไปซื้อข้อมูลของนักต้มตุ๋นจากเจ้าพ่อคนหนึ่งในวงการ (คะทสึระงิ-桂木) ที่รู้สึกสนุกกับการเฝ้าดูเรื่องราวชีวิตของมนุษย์

เนื้อหาของการ์ตูนเรื่องนี้ค่อนข้างสนุก ชวนให้ติดตามว่าคุโระจะปลอมตัว หรือจะทำยังไงถึงจะหลอกนักต้มตุ๋นได้ ที่สนใจการ์ตูนเรื่องนี้ ก็เพราะได้ดูละครก่อนแล้วท่าทางสนุก ทำให้ต้องไปหาการ์ตูนมาอ่าน (หมายเหตุ: ดูเหมือนจะยังไม่ได้เอามาแปลขายที่เมืองไทย) พออ่านแล้วรู้สึกว่าสนุกกว่าละครอีก เนื่องจากละครพยายามรวบรัดให้เรื่องราวการหลอกลวงแต่ละครั้งจบภายในหนึ่งตอน แล้วก็จะมีแค่ 11-12 ตอน (ในขณะที่มีหนังสือออกมา 9 เล่มแล้ว) ทำให้ยิ่งต้องดำเนินเรื่องไปค่อนข้างเร็ว

หมายเหตุ ชื่อเรื่องและชื่อตัวละครในเรื่องนี้ เป็นการเล่นคำในภาษาญี่ปุ่น คือ ซะงิ เป็นคำพ้องเสียงมีสองความหมายคือ การหลอกลวง (詐欺) กับนกกระสา (鷺) คำว่าชิโระซะงิ ซึ่งแปลว่านกกระสาขาวก็ได้ เป็นคำที่ตำรวจใช้เรียกนักต้มตุ๋นที่มีจุดประสงค์หลอกเอาเงิน และเรียกนักต้มตุ๋นที่หลอกลวงโดยหวังจิดใจและร่างกายของเพศตรงข้ามว่าอะกะซะงิ (นกกระสาแดง) ผู้แต่งจึงเรียกตัวเอกของเรื่องเป็น คุโระซะงิ (นกกระสาดำ) หรือนักต้มตุ๋นอีกชนิดหนึ่งที่หลอกลวงพวกเดียวกัน พร้อมทั้งตั้งชื่อตัวเอกให้ด้วยว่า คุโระซะคิ ปซึ่งก็ออกเสียงคล้ายๆ กัน (ต่างกันแค่พยางค์สุดท้าย)

18 May 2006

Google Web Toolkit

อ่านจาก Google blog แล้วขอเอา URL ของ Google Web Toolkit มาจดไว้หน่อย ไว้มีโอกาสค่อยลองเล่น เพราะตอนนี้ก็กำลังวางแผนแล็บวิชา database สำหรับเทอมหน้าอยู่เหมือนกัน ตอนนี้ตกลงกับอาจารย์อีกท่านได้ว่า จะสอนทั้ง MySQL (+PHP) และ Oracle 10g XE (+JSP/Servlet) แต่ก็กำลังคิดๆ อยู่เหมือนกัน เพราะคนสอนสนุก แต่เด็กจะเป็นไงบ้างก็ไม่รู้ จะว่าไปตอนนี้ Ajax ก็กำลังมาแรง ถ้ามีโอกาสก็น่าสอน

17 May 2006

MacBook

ตามข่าวจาก ITmedia ในที่สุด Apple ก็ออกโน้ตบุครุ่นใหม่ MacBook ซึ่งเป็นรุ่นที่จะมาแทนที่ iBook และ PowerBook 12" คราวนี้มีสองสีขาวกับดำ เฉพาะรุ่นท็อปใช้สีดำ ส่วนอื่นๆ ก็ไม่ต่างจาก MacBook Pro มาก แต่ที่ชอบก็คือจอ 13" กับน้ำหนัก 2.36 กก. เพราะเป็นพวกไม่ชอบโน้ตบุครุ่นจอใหญ่ๆ หนักๆ เท่าไหร่ มีความรู้สึกว่าโน้ตบุคน่าจะเล็กๆ เบาๆ ดีกว่า

Update: เมืองไทยก็เริ่มตั้งราคาขายแล้ว ไม่ถูกแฮะ
Update: MacBook: First Impression by PC Watch
Update: เปิดตัวอย่างเป็นทางการที่เมืองไทยแล้ว รุ่นท๊อป 61,500 (ไม่รวม vat)

08 May 2006

pdfLaTeX กับฟอนต์

วันก่อนเขียนเปเปอร์ด้วย pdfLaTeX แล้วรู้สึกว่าไฟล์ pdf ที่ได้ ใช้ฟอนต์ไม่เหมือนกับตัวอย่างที่ให้มา ทั้งๆ ที่ก็ทำตามวิธีการที่อธิบายมาทั้งหมด ลองหาไปหามา เลยเจอว่า pdf ของเรามีการ embed ฟอนต์ (Nimbus Roman No9 L สำหรับ Times) ลงไปในไฟล์ ในขณะที่ไฟล์ตัวอย่างเขาในฟอนต์มาตรฐานที่มากับ Adobe Reader ทำให้หน้าตาของฟอนต์ Times ไม่เหมือนกัน สุดท้่ายสาเหตุอยู่ที่การกำหนดไฟล์ font map สำหรับ pdfTeX ซึ่งจะกำหนดให้ดาวน์โหลดฟอนต์ไปด้วยเสมอเพื่อความปลอดภัย จะได้มีฟอนต์แสดงได้ทุกที่ (แต่เดี๋ยวนี้คงไม่จำเป็นเท่าไหร่แล้วมั้ง) จดวิธีแก้ไว้กันลืม แก้ไฟล์ /etc/texmf/updmap.d/00updmap.cfg ให้เป็น

pdftexDownloadBase14 false

จากนั้นก็ update map ด้วยคำสั่ง

$ sudo updmap-sys
$ updmap

22 February 2006

กลับสู่โลก Broadband

ช่วงนี้มีแต่เรื่องยุ่งๆ เลยไม่มีเวลาเขียนอะไรเลย อยู่ที่ทำงานก็งานเยอะ ทั้งเตรียมสอน งานวิจัย และคุยกับนักศึกษา (งานหลังนี้บางทีก็กินเวลาเยอะเหมือนกัน) อยู่บ้าน(หอ) ก็ไม่ค่อยได้ใช้เน็ต เพราะขี้เกียจ แถมโมเด็มก็ยังช้าอีกต่างหาก แต่วันนี้ได้กลับมาใช้ ADSL อีกครั้งหนึ่ง เพราะที่หอเขาเปิดบริการ ADSL แล้ว ทำให้ได้กลับมาสู่โลก broadband อีกครั้ง แม้ว่า broadband นี้จะช้ากว่าเดิมเยอะมาก ไหนๆ เขียนแล้วก็ขอบ่นเก็บไว้ดีกว่า จะว่าไปแล้วการเป็นอาจารย์ ก็เป็นงานที่เหนื่อยเหมือนกันนะ ตั้งแต่วางแผน เตรียมการสอน จะสอนยังไงถึงจะทำให้เด็กเข้าใจ จะสอนยังไงถึงจะไม่ยากเกินไป ซึ่งตรงนี้รู้สึกว่าตัวเองยังทำได้ไม่ดีนัก เพราะบางเรื่องที่ตัวเองรู้สึกว่าง่าย แต่มันกลับเป็นเรื่องยากสำหรับนักศึกษา แต่จะว่าไปนักศึกษาก็ยังดูขาดความกระตือรือร้นในการเรียน ยังรู้สึกว่าเขาเรียนกันเพื่อคะแนนอย่างเดียว ไม่ได้เรียนเพื่อความรู้ มันทำให้ไม่เกิดความสนุกในการเรียน ยังจำได้ว่าสมัยเรียนจะรู้สึกสนุกกับแต่ละเรื่องที่อาจารย์สอนมาก อยากรู้ไปหมดซะทุกอย่าง (ตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่ ขนาดสอนเองก็ยังรู้สึกสนุกกับการอ่านหนังสือเตรียมสอน) ตอนนี้ก็เลยพยายามจะทำยังไงก็ได้ ให้นักเรียนรู้สึกสนุกกับการเรียนมากกว่านี้ รู้สึกสนุก หรือเห็นความสวยงามของ programming มากกว่านี้ ถ้าทำได้อย่างนี้ชีวิตของพวกเขาคงจะมีความสุขกว่าตอนนี้ขึ้นเยอะเลย เพราะตอนนี้ดูเหมือนว่าอะไรก็ไม่สนุกซักอย่าง ไม่อยากทำอะไรเลย มีสนุกอยู่ไม่กี่คน