26 February 2005

ที่สุดในโลก

วันก่อนเข้าไปอ่านเว็บของสนามบินสุวรรณภูมิ โดยส่วนตัวยังถือว่าเป็นเว็บที่ถือว่าเป็นตัวอย่างที่ดีแห่งหนึ่ง เพราะมีการเพิ่มเติมข้อมูลเกี่ยวกับการก่อสร้างอย่างสม่ำเสมอ และมีข้อมูลอื่นๆ นอกจากชื่อผู้บริหารกับนโยบาย ต่างจากเว็บในเมืองไทยหลายๆ แห่ง ถึงแม้ว่าจะมีคนบ่นกันเรื่องถามอะไรในเว็บบอร์ดแล้วก็ไม่มีใครมาตอบ แถมไม่ยอมให้คนนอกเข้ามาตอบอีกด้วย พออ่านเว็บนี้ประกอบกับข้อมูลหลายๆ แห่ง ดูเหมือนว่าเราจะมีหอบังคับการบินที่สูงที่สุดในโลก ซึ่งเห็นถกกันว่าจำเป็นไหม

โดยส่วนตัวแล้วรู้สึกว่าคนไทยเรา ชอบทำอะไรให้เป็นที่สุดในโลกเสมอๆ (แม้ว่าบางอย่างจะไม่มีใครสนใจจะแข่งด้วยก็ตาม) แต่บางครั้งก็อดคิดไม่ได้ว่าเราควรภูมิใจแค่ไหนกับสิ่งก่อสร้างที่เป็นที่สุดในโลกในบ้านเรา ทั้งนี้เพราะดูเหมือนว่าเราเป็นเพียงผู้นำเข้าเทคโนโลยีจากภายนอก เพื่อนำมาสร้างสิ่งที่เป็นที่สุดในโลก เหมือนเป็นเศรษฐีที่ซื้อของมา โดยไม่รู้คุณค่าเท่าที่ควร ซื้อเพียงแค่ว่ามันเป็นที่สุดเท่านั้นเอง แถมเรายังไม่ได้เป็นเศรษฐีอีกด้วย

ผมอยากภูมิใจกับของที่สุดในโลก ที่คนไทยทำวิจัยเอง แล้วลงมือทำเองมากกว่า ถึงแม้ว่าคงจะต้องรออีกนาน แต่หวังว่าสักวันคงได้ยืดอกคุยให้คนต่างชาติฟังด้วยความภูมิใจได้ ว่าของที่สุดในโลกนี้ เราทำเอง แถมไม่ได้ทำง่ายๆ ต้องลงมือลงแรงกันเป็นเวลานาน เพื่อให้เป็นที่สุดในโลก

17 February 2005

ใช้ Mac ดีอย่างไร (Why am I using Mac ?)

กลับเมืองไทยครั้งนี้ หลังจากแต่ละคนเห็นว่าใช้ Powerbook คำถามที่ทุกคนต้องถามก็คือ Mac ดียังไงบ้าง หรือว่าต่างจาก Windows อย่างไรบ้าง (กลับคราวที่แล้ว ก็แบกมาเหมือนกัน แต่มัวแต่เที่ยวไม่ค่อยได้เจอใคร เลยไม่มีคำถาม) ส่วนใหญ่ไม่ได้ตอบจริงจังเท่าไร ด้วยความขี้เกียจอธิบาย แล้วก็แต่ละคนที่ถามก็ไม่ได้มีความรู้เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์มากนัก ส่วนใหญ่เป็นผู้ใช้ธรรมดา เลยมักจะเลี่ยงไปตอบว่า เกี่ยวข้องกับงานที่ทำอยู่ตอนนี้บ้าง หรือว่าทำให้ทำงานได้สะดวกขึ้นบ้าง ซึ่งก็เป็นคำตอบที่ไม่ตรงคำถามทีเดียวนัก วันนี้รู้สึกว่างๆ ระหว่างเดินทางกลับโอซากา เลยเขียนคำตอบที่ตัวเองคิดว่าตรงกับคำถามไว้หน่อยดีกว่า

ต่อไปจะเป็นข้อดีของ Mac ที่ทำให้ตัวเองเลือกใช้ โดยเรียงลำดับจากข้อที่สำคัญก่อน

  1. ความเข้ากันได้กับยูนิกซ์ เนื่องจาก MacOS X ก็คือยูนิกซ์ ที่ถูกเอามาแต่งหน้าให้สวยงาม เหมาะกับผู้ใช้ทั่วๆ ไป จนทำให้คนทั่วไปลืมไปว่าข้างในนั้น ก็เป็นยูนิกซ์ดีๆ นี่เอง OS X ใช้เคอร์เนล (หรือแก่นของระบบ) ที่พัฒนาจากเคอร์เนลของยูนิกซ์ BSD ซึ่งชื่อว่า Mach นอกจากนี้ยังให้โปรแกรมพื้นฐานของยูนิกซ์มาทั้งหมด รวมทั้งตัวแปลภาษาและไลบรารีต่างๆ ทำให้สามารถนำโปรแกรมอื่นๆ ที่ใช้กันในระบบยูนิกซ์มาใช้งานได้ทันที โดยแทบจะไม่ต้องเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขอะไรเลย จึงเหมาะกับตัวเองที่ชอบใช้ยูนิกซ์ และการสั่งงานแบบคอมมานไลน์เป็นหลัก (จะมีความสุขมาก ถ้าไม่ต้องยกมือออกจากคีย์บอร์ดไปจับเมาส์) อาจจะมีคนเห็นว่าบนวินโดว์ก็สามารถใช้ Cygwin ได้เหมือนกัน ไม่น่าจะต่างกันมาก แต่ Cygwin นั้น แม้ว่าจะถูกพัฒนาไปเยอะ แต่ยังติดข้อจำกัดอีกหลายๆ อย่าง ประเด็นที่ใหญ่ที่สุด ก็คือ ไม่สามารถนำซอฟท์แวร์สำหรับยูนิกซ์มาใช้งานได้ทันที มักจะต้องมีการปรับแก้บางส่วนก่อน โดยในกรณีที่เป็นซอฟท์แวร์ชื่อดัง ก็จะมีคนทำให้ใช้แล้ว แต่ถ้าเป็นซอฟท์แวร์ตัวเล็กๆ ก็ไม่สามารถใช้ได้ทันที ต้องปรับแก้เองก่อน ทำให้รู้สึกว่าเหมือนมีช่องว่างระหว่างยูนิกซ์กับ Cygwin
  2. ฮาร์ดแวร์ต่างๆ จากข้อที่แล้วอาจจะมีคนเห็นแย้งว่าทำไมไม่เอาโน้ตบุคทั่วๆ ไป มาติดตั้งลินุกซ์ ซึ่งก็ทำให้ใช้ยูนิกซ์ได้อย่างสมบูรณ์ ทำไมต้องใช้แมคด้วย ข้อนี้เป็นความจริงทีเดียว โดยปกติแล้วเครื่องเดสก์ทอปทั้งหมดของตัวเองก็ใช้ลินุกซ์อยู่แล้ว และเดิมก็เอาเคยเอาโน้ตบุคของแล็บมาลงลินุกซ์ใช้อยู่แล้ว แต่ที่คิดเปลี่ยนมาใช้ ก็เป็นเพราะความไม่สมบูรณ์ของไดร์เวอร์สำหรับฮาร์ดแวร์ต่างๆ บนลินุกซ์ ทำให้ไม่สามารถใช้อุปกรณ์ต่างๆ ได้ครบ แต่เดิมก็คิดว่ามันเป็นน่าสนใจ ที่เราสามารถไปค้นหาแล้วทำให้ใช้ฮาร์ดแวร์ต่างๆ บนลินุกซ์ได้ แต่พอนานๆ เข้า ความจำเป็นในการทำงาน เพราะต้องทำงานนอกสถานที่มากขึ้น ต้องการเครื่องที่มีเสถียรภาพในการทำงาน ไม่ต้องกังวลปัญหาต่างๆ ที่อาจเกินขึ้น ทำให้ตัดสินใจเปลี่ยนมาใช้แมคในที่สุด ที่จริงแล้วยังมีอีกทางเลือกหนึ่งในการใช้งานลินุกซ์โดยไม่ต้องกังวลกับปัญหาไดร์เวอร์ ก็คือติดตั้งวินโดว์ลงไปก่อน แล้วใช้โปรแกรมประเภท Virtual Machine แบบต่างๆ เช่น VMWare แล้วติดตั้งลินุกซ์ลงไป ทำให้ไม่ต้องกังวลปัญหาเกี่ยวกับไดร์เวอร์ เพราะจะสามารถใช้ผ่านไดร์เวอร์ของวินโดว์ได้ทันที แต่ก็ดูเหมือนเป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากรทั้งตัวประมวลผล และหน่วยความจำ โดยไม่จำเป็น แมคจึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
  3. ความหลากหลายของซอฟท์แวร์ จากที่พูดถึงไปในข้อแรกว่า OS X ก็คือยูนิกซ์ ทำให้สามารถใช้ซอฟท์แวร์ต่างๆ ของยูนิกซ์ได้ทันที โดยเพียงนำมาคอมไพล์เอง นอกจากนี้ในกรณีของซอฟท์แวร์เสรีต่างๆ ก็มีคนทำระบบติดตั้งซอฟท์แวร์ไว้ให้แล้ว เช่น Fink ซึ่งใช้ระบบแพคเกจของ Debian Linux สามารถใช้คำสั่ง apt-get ติดตั้งซอฟท์แวร์เสรีต่างๆ ได้ทันที ส่วนคนที่ชอบระบบ Ports ของ BSD ก็สามารถใช้ Darwinports ซึ่งเราจะสามารถเลือกได้ว่าจะติดตั้งแพคเกจเลย หรือว่าจะติดตั้งจากรหัสต้นฉบับได้ ส่วนคนที่คุ้นเคยกับ emerge ของ Gentoo Linux ก็สามารถเลือกใช้ Gentoo MacOS เพื่อติดตั้งซอฟท์แวร์จากรหัสต้นฉบับได้เช่นเดียวกับ Gentoo นอกจากซอฟท์แวร์เสรีต่างๆ แล้ว OS X ยังมีทางเลือกให้เราใช้ซอฟท์แวร์ที่ไม่เสรีอื่นๆ ได้ เช่น ไมโครซอฟท์ก็ออกชุดออฟฟิสสำหรับ OS X หรือ Apple เองก็มีซอฟท์แวร์ต่างๆ ให้เลือกใช้มากมายตามแต่กำลังทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็น iWork, iLife รวมถึงซอฟท์แวร์ของบริษัทอื่นๆ เช่น Adobe ด้วยเหตุนี้ แมคจึงเป็นเหมือนจุดกึ่งกลางระหว่างสังคมซอฟท์แวร์เสรี กับซอฟท์แวร์เชิงธุรกิจ
  4. ความปลอดภัย เนื่องจากมีคนใช้แมคน้อยกว่าวินโดว์ จึงทำให้แมคยังไม่ตกเป็นเป้าหมายของคนพัฒนาไวรัสมากนัก แต่ต่อไปก็ไม่แน่เพราะคนกำลังหันมาใช้มากขึ้นทุกวัน ยิ่งแอปเปิลหันมาตัดราคาเพื่อขยายส่วนแบ่งในตลาด ยิ่งน่าจะทำให้คนเคยคิดว่าแมคเป็นของราคาแพง หันมาสนใจแมคมากขึ้น แต่อย่างไรก็ดี เมื่อลองดูระบบความปลอดภัยของ OS X โดยส่วนตัวเห็นว่าปลอดภัยกว่าวินโดว์มาก เพราะไม่ได้เน้นที่ความสะดวกของผู้ใช้จนเกินไป จนลืมคิดถึงความปลอดภัย เห็นไปอ่านที่ไหนจำไม่ได้แล้ว แต่มีคนยกข้อนี้มาเป็นข้ออ้างว่าเนื่องจากวินโดว์อำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้มากกว่า ก็ต้องยอมเสียความปลอดภัยไปบ้าง ฟังแล้วไม่อยากจะคิดเลยว่าไมโครซอฟท์จะคิดอย่างนี้เหมือนกัน โดยส่วนตัวแล้ว ความสะดวกที่ไม่จำเป็นนั้น ไม่มีประโยชน์เลย ประเภทตัดสินใจแทนไปก่อนนั้น จะไม่ชอบมาก ถ้าจะทำอะไรของคิดเอง แล้วค่อยเลือกทำดีกว่า มันไม่ลำบากอะไรนักหรอก เมื่อแลกกับความอุ่นใจที่ได้

เมื่อพูดถึงข้อดีของแมคแล้ว ก็ควรจะพูดถึงข้อเสียบ้าง เพราะโลกนี้ไม่มีอะไรดีอย่างเดียวหรอก เพียงแต่เวลาเกิดความหลงแล้ว เรามักจะมองข้ามข้อเสีย หรือมองว่าเป็นเพียงจุดเล็กๆ ที่ไม่สำคัญ

  1. ความหลากหลายของฮาร์ดแวร์ ถ้าคิดจะใช้แมค โดยเฉพาะเมื่อต้องการใช้เป็นคอมพิวเตอร์พกพา ก็จะไม่มีทางเลือกมากนัก เพราะเราซื้อได้แต่ของแอปเปิลเท่านั้น ในขณะที่คนใช้วินโดว์มีทางเลือกมากมายหลายยี่ห้อ นี่เป็นข้อเสียหนึ่งที่ทำให้หลายคนยังไม่เปลี่ยนมาใช้แมค แม้ว่าจะสนใจในตัว OS X เพราะถ้าเทียบแล้วโน้ตบุคสำหรับวินโดว์ที่คุณสมบัติที่เหนือกว่าค่อนข้างมาก เช่น Let's Note ของ Panasonic เบากว่ามาก ในขณะที่จอใหญ่กว่า แถมแบตเตอรี่ยังใช้งานได้นานกว่ามาก แล้วยังสนับสนุนอุปกรณ์ใหม่ๆ เต็มที่ อย่างไรก็ดีเห็นข่าวเมื่อสองสามวันก่อน เห็นจอบส์แย้มว่ามีคนสนใจจะทำเครื่องสำหรับ OS X ซึ่งถ้าเป็นไปได้ก็น่าจะลดข้อเสียนี้ได้เยอะเลย
  2. ใครว่าแอปเปิลไม่ผูกขาด ถ้าลองอ่านตามเว็บต่างๆ ไปเรื่อยๆ ก็เห็นคนบ่นเรื่องแอปเปิลพยายามรวบทุกอย่างไว้ที่ตัวเองเหมือนกัน เช่น แอปเปิลเพิ่มให้สามารถกด Alt+Tab เพื่อสลับโปรแกรม ใน OS X รุ่นหลังๆ ทำให้คนที่ทำโปรแกรมเล็กๆ เพื่อเพิ่มความสามารถนี้ ไม่สามารถขายโปรแกรมของเขาได้ แต่เรื่องนี้ไม่ได้เป็นข่าวใหญ่ เพราะคนส่วนใหญ่คงเห็นว่าฟีเจอร์นี้เป็นสิ่งสำคัญที่ตัวเองอย่างให้มีมากับระบบเลย โดยไม่จำเป็นต้องไปซื้อที่ไหนอีก แต่ต่อไปใครจะรู้ว่าจะแอปเปิลจะทำอะไรออกมาดึงลูกค้าไว้กับตัว ทำให้ต้องใช้แต่สินค้าของแอปเปิลเท่านั้น
  3. แมคเป็นศาสนา ข้อนี้เป็นสิ่งที่เห็นหลังจากซื้อแมคมาใช้แล้ว ยิ่งพอไปดูวีดีโอที่จอบส์เปิดตัว Mac Mini และ iWork ในงานที่ผ่านมา รู้สึกว่าจอบส์เป็นศาสดา ที่มาพูดให้สาวกทั้งหลายฟัง ตัวเองฟังแล้วก็รู้สึกคล้อยตามไปเยอะเหมือนกัน (แหะๆ ซื้อ iWork มาใช้แล้วล่ะ) ข้อเสียของการเป็นสาวกของศาสนานี้ คือเสียทรัพย์ และใช้ทรัพยากรต่างๆ อย่างไม่คุ้มค่า เพราะหลงไปกับฟีเจอร์ใหม่ๆ ซึ่งอาจจะไม่จำเป็นสำหรับตัวเองเลย

โดยส่วนตัวแล้วคิดว่าแมคน่าจะมีข้อเสียมากกว่านี้ แต่ยังนึกไม่ออก หรืออาจจะตามัวอยู่ก็ได้ ไว้นึกออกแล้วค่อยมาเขียนใหม่ล่ะกัน แต่ที่ซื้อ Powerbook มาใช้ ก็เพราะคิดว่าข้อเสียเหล่านี้จะอยู่ในจุดที่ยอมรับได้สำหรับตัวเอง และเมื่อใช้แล้วก็มีความสุขดี ไม่คิดจะเปลี่ยนไปใช้วินโดว์อีก

09 February 2005

Trento และ Venice

Trento และ Venice

ช่วงนี้ไม่ได้เขียนบลอคเลย เพราะชีพจรลงเท้าเพิ่งไปพรีเซนท์งานที่อิตาลีมา แล้วตอนนี้ก็ยังหนีกลับเมืองไทยอีก แหะๆๆ นอกจากนี้กลับมาจากอิตาลี ก็มีงานใช้แรงงาน คือทำห้องทำงานตัวเองให้ว่าง เพราะได้เงินมาปรับปรุงห้องใหม่ งานนี้ได้พี่ป๊อบกับเด็กๆ ช่วย ทำให้เสร็จเร็วกว่าที่คิดมาก ประมาณว่าทิ้งแหลก เพราะส่วนใหญ่เป็นของที่อ.คะชิฮะระทิ้งไว้ทั้งนั้นเลย แถมวันนี้ (8 ก.พ. 2548) ยังต้องเป็นช่างไฟ ต่อไฟจากคัทเอาท์ แล้วก็ยกเซิร์ฟเวอร์ต่างๆ มาไว้ห้องใหม่ เพราะจะทำห้องเก่าเป็นห้องพักนักเรียน (ด้วยเงินก้อนเดียวกัน) เล่นเอาเหนื่อย เพราะเซิรฟเวอร์ตัวหนึ่ง แค่ปิดแล้วย้ายมาเปิดใหม่ การ์ดจอก็ไม่ทำงานซะดื้อๆ ต้องไปงัดการ์ดจอจากเครื่องที่ไม่ใช้แล้วมาใช้แทนไปพลางก่อน สงสัยจะได้เวลาเปลี่ยนเซิร์ฟเวอร์แล้วล่ะมั้ง เฮ้อ...เกิดมาเป็นโจชุนี่ต้องทำได้ทุกอย่างจริงๆ

วันนี้บ่นยาวเลยแฮะ เข้าเรื่องตามหัวข้อดีกว่า อาทิตย์ที่แล้วไปพรีเซนท์ในงาน SAINT2005 มา ที่จริงงานนี้เป็นงานเกี่ยวกับอินเตอร์เน็ต แต่บังเอิญมี workshop หนึ่งที่เกี่ยวกับงานที่ทำอยู่ แล้วอาจารย์อยากให้ส่ง ก็เลยส่งไป แล้วก็ผ่าน เลยได้มีโอกาสไปเหยียบทวีปยุโรปบ้าง หลังจากไปแต่ทวีปอเมริกา งานจัดที่เมืองเทรนโต้ในประเทศอิตาลี ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆ อีกเช่นเคย ตามสไตล์ของงานประชุมวิชาการ เทรนโต้อยู่ทางภาคเหนือของอิตาลี ตัวเมืองเล็กมากๆ จนสามารถเดินได้ทั่วเมือง แต่ด้วยความที่เป็นเมืองเล็ก ทำให้การเดินทางไปจากโอซากาค่อนข้างลำบาก เพราะเมืองนี้ไม่มีสนามบิน ต้องไปลงสนามบินใกล้ๆ แล้วนั่งรถไฟต่อเอา ซึ่งสนามบินใกล้ๆ ก็ได้แก่ เวโรนา (Verona) เวนิส (Venice) และมิลาน (Milan) แต่บริษัททัวร์แนะนำเวนิส บวกกับความอยากเที่ยวของตัวเองและอาจารย์ ก็เลยเลิอกไปเวนิส แล้วก็เลือกใช้ Lufhansa เพราะเป็น Star Alliance งานนี้เลยต้องไปลงแฟรงค์เฟริทก่อน แล้วเปลี่ยนเครื่องบินไปเวนิสอีกที รวมแล้วใช้เวลาเดินทางนานมากๆ คือ โอซากา-แฟรงค์เฟริท 12 ชม. รอเปลี่ยนเครื่อง 2 ชม. แฟรงค์เฟริท-เวนิส 1.5 ชม. เดินทางไปสถานีรถไฟและรอ 1.5 ชม. รถไฟมาช้า .5 ชม. เวนิส-เทรนโต้ 3 ชม. รวมเวลาตั้งแต่ออกจากบ้านนั่งรถไฟไปสนามบิน และรอเครื่องบินอีก 4 ชม. ทำให้งานนี้จากบ้านถึงเทรนโต้ใช้เวลาเดินทางทั้งสิ้น 24.5 ชม. หรือ หนึ่งวันเต็มๆ เหนื่อยที่สุด ตั้งแต่เคยเดินทางมา

เทรนโต้เป็นเมืองเล็กๆ ที่รักษาความเก่าแก่ไว้ได้อย่างดี เวลาอยู่ในเมืองนี้เหมือนย้อนยุคไปเมื่อซักสองสามร้อยปีที่แล้ว เลยได้ถ่ายรูปกันเต็มที่ เพราะแค่เดินจากโรงแรมไปมหาวิทยาลัยที่จัดงาน ก็ถ่ายรูปได้เด็มที่แล้ว แถมช่วงที่ไปอากาศก็ดี (จะถึงเมืองไทยแล้ว ไว้ค่อยมาเขียนต่อ...)

Trento และ Venice

Trento และ Venice

ช่วงนี้ไม่ได้เขียนบลอคเลย เพราะชีพจรลงเท้าเพิ่งไปพรีเซนท์งานที่อิตาลีมา แล้วตอนนี้ก็ยังหนีกลับเมืองไทยอีก แหะๆๆ นอกจากนี้กลับมาจากอิตาลี ก็มีงานใช้แรงงาน คือทำห้องทำงานตัวเองให้ว่าง เพราะได้เงินมาปรับปรุงห้องใหม่ งานนี้ได้พี่ป๊อบกับเด็กๆ ช่วย ทำให้เสร็จเร็วกว่าที่คิดมาก ประมาณว่าทิ้งแหลก เพราะส่วนใหญ่เป็นของที่อ.คะชิฮะระทิ้งไว้ทั้งนั้นเลย แถมวันนี้ (8 ก.พ. 2548) ยังต้องเป็นช่างไฟ ต่อไฟจากคัทเอาท์ แล้วก็ยกเซิร์ฟเวอร์ต่างๆ มาไว้ห้องใหม่ เพราะจะทำห้องเก่าเป็นห้องพักนักเรียน (ด้วยเงินก้อนเดียวกัน) เล่นเอาเหนื่อย เพราะเซิรฟเวอร์ตัวหนึ่ง แค่ปิดแล้วย้ายมาเปิดใหม่ การ์ดจอก็ไม่ทำงานซะดื้อๆ ต้องไปงัดการ์ดจอจากเครื่องที่ไม่ใช้แล้วมาใช้แทนไปพลางก่อน สงสัยจะได้เวลาเปลี่ยนเซิร์ฟเวอร์แล้วล่ะมั้ง เฮ้อ...เกิดมาเป็นโจชุนี่ต้องทำได้ทุกอย่างจริงๆ

วันนี้บ่นยาวเลยแฮะ เข้าเรื่องตามหัวข้อดีกว่า อาทิตย์ที่แล้วไปพรีเซนท์ในงาน SAINT2005 มา ที่จริงงานนี้เป็นงานเกี่ยวกับอินเตอร์เน็ต แต่บังเอิญมี workshop หนึ่งที่เกี่ยวกับงานที่ทำอยู่ แล้วอาจารย์อยากให้ส่ง ก็เลยส่งไป แล้วก็ผ่าน เลยได้มีโอกาสไปเหยียบทวีปยุโรปบ้าง หลังจากไปแต่ทวีปอเมริกา งานจัดที่เมืองเทรนโต้ในประเทศอิตาลี ซึ่งเป็นเมืองเล็กๆ อีกเช่นเคย ตามสไตล์ของงานประชุมวิชาการ เทรนโต้อยู่ทางภาคเหนือของอิตาลี ตัวเมืองเล็กมากๆ จนสามารถเดินได้ทั่วเมือง แต่ด้วยความที่เป็นเมืองเล็ก ทำให้การเดินทางไปจากโอซากาค่อนข้างลำบาก เพราะเมืองนี้ไม่มีสนามบิน ต้องไปลงสนามบินใกล้ๆ แล้วนั่งรถไฟต่อเอา ซึ่งสนามบินใกล้ๆ ก็ได้แก่ เวโรนา (Verona) เวนิส (Venice) และมิลาน (Milan) แต่บริษัททัวร์แนะนำเวนิส บวกกับความอยากเที่ยวของตัวเองและอาจารย์ ก็เลยเลิอกไปเวนิส แล้วก็เลือกใช้ Lufhansa เพราะเป็น Star Alliance งานนี้เลยต้องไปลงแฟรงค์เฟริทก่อน แล้วเปลี่ยนเครื่องบินไปเวนิสอีกที รวมแล้วใช้เวลาเดินทางนานมากๆ คือ โอซากา-แฟรงค์เฟริท 12 ชม. รอเปลี่ยนเครื่อง 2 ชม. แฟรงค์เฟริท-เวนิส 1.5 ชม. เดินทางไปสถานีรถไฟและรอ 1.5 ชม. รถไฟมาช้า .5 ชม. เวนิส-เทรนโต้ 3 ชม. รวมเวลาตั้งแต่ออกจากบ้านนั่งรถไฟไปสนามบิน และรอเครื่องบินอีก 4 ชม. ทำให้งานนี้จากบ้านถึงเทรนโต้ใช้เวลาเดินทางทั้งสิ้น 24.5 ชม. หรือ หนึ่งวันเต็มๆ เหนื่อยที่สุด ตั้งแต่เคยเดินทางมา

เทรนโต้เป็นเมืองเล็กๆ ที่รักษาความเก่าแก่ไว้ได้อย่างดี เวลาอยู่ในเมืองนี้เหมือนย้อนยุคไปเมื่อซักสองสามร้อยปีที่แล้ว เลยได้ถ่ายรูปกันเต็มที่ เพราะแค่เดินจากโรงแรมไปมหาวิทยาลัยที่จัดงาน ก็ถ่ายรูปได้เด็มที่แล้ว แถมช่วงที่ไปอากาศก็ดี (จะถึงเมืองไทยแล้ว ไว้ค่อยมาเขียนต่อ...)