14 March 2005

รำลึกความหลัง (1)

หลังจากอยู่ที่ญี่ปุ่นมาหกปีกว่า ตอนนี้เหลือเวลาอยู่ที่นี่อีกไม่ถึงยี่สิบวันแล้ว (ส่วนตัวเชื่อว่าคงจะได้มาอีก แล้วว่าคงไม่ได้มาอยู่ยาวๆ อย่างนี้อีกแล้วล่ะ) ขอเขียนบันทึกเรื่องราวสมัยอยู่ที่นี่ไว้หน่อยดีกว่า เผื่อไว้ตอนแก่ๆ จะได้มาอ่านได้ สาเหตุที่ได้มาญี่ปุ่นก็พอตอนปีสี่ มีเพื่อนชวนไปสอบชิงทุนรัฐบาลญี่ปุ่น ซึ่งจัดโดยสถานทูต ตัวเองก็ไปสอบเล่นๆ ตามประสา ปรากฏว่าในบรรดาเพื่อนในภาคฯ ที่ไปด้วยกัน มีเราสอบข้อเขียนผ่านอยู่คนเดียว เลยได้ไปสอบสัมภาษณ์ ไม่รู้เป็นไปได้ยังไงเหมือนกัน ทั้งๆ ที่ตัวเองก็ไม่ได้เก่งที่สุดในเพื่อนพวกนั้น สมัยนั้นข้อสอบเป็นแบบปรนัย 22 ข้อ เนื้อหาประมาณวิชาพื้นฐาน คล้ายๆ ข้อสอบเอนทรานซ์ กับวิชาพื้นฐานที่เรียนตอนปีหนึ่งปีสอง ที่นี้ก็ถึงวันสอบสัมภาษณ์ ซึ่งสอบเป็นภาษาอังกฤษ จำได้ว่าตอบได้ทุกคำถามแหละ แต่ว่าสั่นสุดๆ สอบเสร็จก็คิดไว้แหละว่าตัวเองคงไม่ได้ เพราะบุคลิกคงไม่ค่อยดีเท่าไหร่ สั่นออกขนาดนั้น (สมัยก่อนเป็นโรคตื่นเต้นง่าย หน้ายังบางอยู่ เดี๋ยวนี้ไม่รู้ความตื่นเต้นมันหายไปไหนหมด) ปรากฏว่าผลสอบออกมาได้ตัวสำรอง อืม...ทำไมมันครึ่งๆ กลางๆ อย่างนี้วะ จะได้ก็ไม่ได้ จะตกก็ไม่ตก แต่พอได้ตัวสำรองเขาก็ให้ทำทุกอย่างเหมือนคนได้ตัวจริงหมดเลย ตั้งแต่เริ่มหาที่เรียน คือต้องหาอาจารย์ที่ปรึกษาคนญี่ปุ่น เราก็ค่อนข้างสบาย โดยไปรบกวนอาจารย์บุญเสริมให้ติดต่อที่อาจารย์ให้ ตอนนั้นเริ่มทำโปรเจคท์กับอาจารย์อยู่แล้วด้วย อาจารย์ก็ติดต่ออาจารย์นุมะโอะ แล้วก็ขอใบรับเราเข้าเรียนเรียบร้อย จากนั้นก็ต้องไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลจุฬาฯ จำได้ว่าตรวจเยอะมากๆ ต้องเดินขึ้นลงตึกภปร. เป็นว่าเล่น แต่สุดท้ายก็สามารถส่งเอกสารทั้งหมดครบ เขาก็บอกให้รอ จะแจ้งผลทุนอย่างเป็นทางการอีกครั้งราวเดือนมกราคม สำหรับคนที่จะเดินทางไปญี่ปุ่นในเดือนเมษายน ตอนนั้นมีหวังเล็กๆ เพราะคนที่ได้ตัวจริงก็โดนขู่ว่าผลตัวจริงนี้ แค่เป็นคำแนะนำของสถานทูตไปที่กระทรวงศึกษาของญี่ปุ่น ผลทุนอย่างเป็นทางการจะมาจากญี่ปุ่นอีกครั้ง คนที่ได้ตัวจริงก็อาจจะไม่ได้ก็ได้ แถมฉิมยังบอกด้วยว่าปีที่แล้วคนที่ได้สำรองก็ได้ทุนหมดทุกคน

หลักจากนั้นก็ตั้งหน้าตั้งตาทำโปรเจคท์กับมอส ไปๆ มาๆ ระหว่างเนคเทคกับจุฬาฯ มาก จนกระทั่งเดือนมกราคม ก็มีจดหมายฉบับหนึ่งส่งไปที่บ้าน แสดงความเสียใจว่าเราไม่ได้ทุน จำอารมณ์ตอนอ่านจดหมายไม่ได้แล้วล่ะ แต่จำได้ว่าไม่ได้รู้สึกเสียใจมากนัก เพราะตัวเองก็ได้แค่ตัวสำรอง จากนั้นเรียนจบก็เลยไปทำงานที่ NCR ตามคำชวนของพี่ต๋อง เนื่องจากตอนปีสามไปฝึกงานที่นั่น เริ่มทำงานตั้งแต่วันแรกที่เรียนจบ คือ 16 มีนาคม 2541 ที่จริงที่บ้านก็อยากให้เรียนต่อนะ แต่ตัวเองรู้สึกเสียดายเงิน (ช่วงนั้น 1 ดอลลาร์ ประมาณเกือบ 50 บาท) เลยคิดว่าขอทำงานหาประสบการณ์ก่อนดีกว่า แล้วค่อยเรียนต่อทีหลัง พอเริ่มทำงาน ก็เริ่มสนุกกับงานไปอีกแบบหนึ่ง เพราะได้ทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำ คือ ออกแบบระบบและเขียนโปรแกรม ที่ NCR ใช้ Delphi เป็นหลัก พอเริ่มสนุกกับงาน คือ ทุกอย่างเริ่มลงตัว มีที่นั่งประจำเป็นของตัวเอง การเดินทางก็ไม่ลำบากนัก เพราะใช้เรือด่วนเจ้าพระยา แป๊บเดียวก็ถึง ไม่มีรถติดมาให้กังวลใจ จนเดือนสิงหาคม ต้องไปติดตั้งโปรแกรมที่สิงคโปร์ ซึ่งเป็นการเดินทางไปต่างประเทศครั้งที่สอง ระหว่างที่อยู่สิงคโปร์แล้วโทรกลับมาบ้าน ปรากฏว่าแม่บอกว่าสถานทูตญี่ปุ่นส่งจดหมายมาว่าจะให้ทุน เล่นเอาคืนนั้นนอนไม่หลับเลย เพราะตัวเองเป็นคนไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง ยิ่งการไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่นเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ใหญ่มากๆ เพราะต้องไปอยู่ในประเทศที่ไม่รู้จัก แถมเป็นประเทศที่ไม่พูดภาษาอังกฤษอีก ที่บ้านทุกคนอยากให้ไปมากๆ เพราะอยากให้เรียนต่อเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แถมงานบริษัทที่ทำมันก็ไม่ได้มั่นคงอะไรนัก คือถ้าวันดีคืนดีระบบที่เราทำอยู่ขายไม่ออก เราก็โดนปลดออกเท่านั้นเอง เพราะบริษัทเขาจะดูกำไรต่อจำนวนพนักงาน ถ้ากำไรน้อยลง ก็ต้องลดพนักงานลง โดยไม่สนใจว่าพนักงานเรานั้นได้เรียนรู้ หรือว่าเตรียมระบบอะไรไว้ขายบ้าง เขากะว่ามีโอกาสเมื่อไหร่ก็จ้างเพิ่มได้เมื่อนั้น ท้ายที่สุดก็ไปคุยกับอาจารย์บุญเสริม แล้วก็ตัดสินใจว่าจะไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่น ตอนนั้นมีเวลาเตรียมตัวไม่มาก ภาษาญี่ปุ่นก็ไม่เคยเรียนสักตัว ถามดังเจตน์ว่าจำเป็นไหม ก็ได้คำตอบว่าจำเป็น อย่างน้อยควรจะจำตัวอักษรฮิระงะนะ กับคะตะคะนะได้ แล้วก็ได้แบบฝึกอ่านตัวอักษรเหล่านี้จากฉิม เพราะบ้านฉิมอยู่ข้างๆ บริษัททำให้นัดเจอกันง่ายมาก

เมื่อวันเดินทางใกล้เข้ามา ก็ต้องไปขอวีซ่าซึ่งมารู้ทีหลังว่าการเป็นนักเรียนทุนรัฐบาลญี่ปุ่นเนี้ย ทำให้การขอวีซ่านักเรียนง่ายมากๆ แค่เอาพาสปอร์ตไปทิ้งไว้ที่สถานทูตสองวันก็ได้แล้ว แถมมีการปฐมนิเทศนักเรียนทุน มีการพาไปเลี้ยงอาหารญี่ปุ่นร้านใกล้ๆ สถานทูตด้วย สมัยนั้นคนไทยยังไม่ฮิตอาหารญี่ปุ่นเท่าปัจจุบัน เลยเป็นครั้งแรกที่ได้ลิ้มรส บอกได้คำเดียวว่ารสชาติแย่มากๆ ไม่อร่อยเอาซะเลย สำหรับเราซึ่งนิยมกินอาหารรสจัดแล้ว มันเหมือนไม่มีรสชาติอะไรเลย มีซุปเต้าเจี้ยวอะไรก็ไม่รู้ ซึ่งเวลากินต้องใช้วิธียกซดเอาด้วยประหลาดสุดๆ ก่อนไปมีปัญหาอีกนิดหน่อยเพราะสถานทูตสะกดชื่อเราผิด ตั๋วเครื่องบินที่ได้เลยผิดได้ด้วย ทำให้ต้องไปแก้ตั๋วที่สำนักงานของ JAL เอง ค่อนข้างลำบากพอสมควร พอถึงวันเดินทางก็มีเพื่อนๆ กับญาติๆ มาส่งกันเยอะเลย จำได้ว่าสุดท้ายรีบลาพ่อแม่ แล้วก็รีบเข้าไปตรวจพาสปอร์ต ตอนนั้นใจหายยังไงไม่รู้ เพราะที่เคยไปต่างประเทศคือรู้วันกลับแน่ๆ จองตั๋วไว้แล้ว แต่ครั้งนี้มีแค่ตั๋วขาไปที่สถานทูตออกให้ จะได้กลับอีกเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แต่ก็คิดในทางที่ดีว่า ทุนก็น่าจะพอซื้อตั๋วกลับได้ไม่ยากน่ะ พอเข้ามานั่งรอ เที่ยวบินนั้นมีแต่นักเรียนทุนเต็มไปหมด แต่ถามใครแล้ว ไม่มีใครไปเรียนมหาลัยเดียวกับเราสักคน ใกล้สุดก็แค่มหาวิทยาลัยโตเกียวซึ่งอยู่ในโตเกียวเหมือนกัน แต่อยู่ตรงไหนก็ไม่รู้ แต่อย่างไรก็ดีตอนเดินขึ้นเรื่องได้เจอพี่ชัยเล็ก แล้วก็ทำให้รู้ว่าแกจะไปที่เดียวกับเรา แต่แกได้ทุนคนละแบบพอไปถึงญี่ปุ่นแล้วจะมีเพื่อน (พี่ฮ่อน) มารับในขณะที่เราต้องมี AIEJ มารับ

พอมาถึงญี่ปุ่นก็เป็นเวลาเช้าของวันที่ 2 ตุลาคม เราต้องรอเจ้าหน้าที่ของ AIEJ ซึ่งเขาบอกให้นั่งรออยู่ในเทอร์มินัล ตอนนั้นเริ่มหาตู้โทรศัพท์ แล้วสุดท้ายก็สามารถซื้อบัตรแล้วโทรกลับไปที่บ้านได้สำเร็จ จากนั้นเจ้าหน้าที่ก็ค่อยมาเรียกให้เข้าไปทีละคน โดยแต่ละคนจะได้เงินติดตัวก่อนคนละเล็กน้อย แล้วเจ้าหน้าที่ก็จะบอกที่พักและพาไป พอถึงตาเรา ก็ได้คำบอกว่าเนื่องจากหอที่พักของเราอยู่ใกล้โตเกียว ก็เลยจะให้เรานั่งรถบัสเข้าไปลงที่ชินจูกุก่อน (ตอนนั้นยังจำไม่ได้หรอกว่าเรียกว่าชินจูกุ) แล้วเจ้าหน้าที่จะเรียกแท็กซี่ไปส่งที่หออีกที ตอนนั้นยังตื่นเต้นอยู่ ก็ได้แต่ทำตามที่เจ้าหน้าที่บอก พอขึ้นรถบัสก็รู้สึกว่าสภาพบ้านเมืองของญี่ปุ่นเป็นที่ตื่นตาตื่นใจมาก (ช่วงนี้ความรู้สึกแบบนี้ก็หายไปเหมือนกัน แม้จะไปประเทศใหม่ๆ ที่ไม่เคยไป) นั่งชมวิวไปตลอดทาง พอถึงชินจูกุเจ้าหน้าที่เขาก็เรียกให้ไปขึ้นแท็กซี่ทีละคน ใครที่ไปที่เดียวกัน ก็จัดให้นั่งไปด้วยกัน ส่วนเราต้องนั่งไปคนเดียว เจ้าหน้าที่บอกทางไปหอให้คนขับเรียบร้อย ก็ให้เราขึ้นรถ ปรากฏว่านั่งไปนานและไกลมากๆ ไม่ถึงสักที ทั้งๆ ทีรถก็ไม่ติด แถมยังขับเร็วมากๆ ค่าแท็กซี่ก็ขึ้นไปเรื่อยๆ หมื่นกว่าเข้าไปแล้ว ตอนนั้นคิดในใจว่าเอาวะเป็นไงเป็นกัน คุยกับคนขับก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่จำได้ว่าเขาถามเราว่ามาเรียนเหรอ เราก็บอกว่าใช่แค่นั้นเอง แต่สุดท้ายคนขับก็พาเราไปถึงหอโชฟู ซึ่งเป็นหอสำหรับนักเรียนต่างชาติของโตโกไดจนได้ และทำให้รู้ทีหลังว่าเราไม่ต้องจ่ายเงิน เดี๋ยวแท็กซี่เขาไปเก็บเงินกับ AIEJ เอง โอ้...มีอย่างนี้ด้วยแฮะ ตอนแรกคิดว่าคงต้องจ่ายไปก่อน แล้วอาจจะขอคืนได้ทีหลัง เพราะเขาบอกว่าเขาจะออกค่าแท็กซี่ให้เรา

พอเข้าไปถึงหอก็เจอคนดูแลหอซึ่งก็คือเนกิชิซัง เอาเอกสารต่างๆ มาให้เราเซ็น พร้อมกับแนะนำหลายๆ อย่าง สุดท้ายก็บอกว่าจะมีติวเตอร์พาเราไปทำบัตรคนต่างชาติอีกสองสามวันหลังจากนั้น ก็ได้แต่ฟังอย่างเดียว ท้ายที่สุดเนกิชิซังพาไปดูห้องพัก ก็เป็นห้องเล็กๆ มีโต๊ะทำงาน เตียง ตู้เสื้อผ้า ตู้เย็นพร้อม ตอนขนกระเป๋าขึ้นบันไดหอ ก็มีผู้ชายตัวใหญ่ๆ ใจดีคนหนึ่งมาช่วยขน สุดท้ายก็ขอบคุณเป็นภาษาอังกฤษกลับไป ปรากฏว่าหน้าแตกเพราะพี่ตี๋ใหญ่แกเป็นคนไทย แล้วแกก็รู้ว่าเราจะมาวันนี้ เลยรออยู่ที่หอก่อน พอได้เจอคนไทยก็ทำให้ใจชื้นขึ้นมาเป็นกอง เพราะยังไงก็คงรอดตายมีที่พึ่งได้พอสมควรแล้ว และด้วยความรู้สึกนี้ทำให้ตัวเองชอบไปรับนักเรียนไทยที่มาใหม่เสมอๆ เพราะคิดว่าเขาเหล่านั้นก็คงรู้สึกเหมือนเรา หลังจากเก็บของเรียบร้อย พี่ตี๋ก็บอกว่าจะพาไปมหาลัย แต่ว่าเรายังไม่ได้กินข้าวเลยตั้งแต่เช้า แกเลยพาไปกินมัทซึยะ ซึ่งขายข้าวหน้าเนื้อวัวอยู่ใกล้ๆ สถานีอะโอะบะได จำได้ว่าแม้ว่าจะจืดๆ แต่ก็อร่อยอย่างบอกไม่พูด แหะๆๆ คงเป็นเพราะหิวมากๆ นั่นเอง แต่ข้าวชามนั้นเยอะมากๆ จนกินไม่หมด (ไม่อยากจะเขียนไว้เลยว่า เมื่ออยู่มาซักพัก รู้สึกว่าแค่ไม่พอ) เขียนแล้วหิว ไว้ค่อยมาเขียนต่อล่ะกัน

1 comment:

Anonymous said...

อ่านแล้วได้อารมณ์มากเลย คงเป็นเพราะผ่านประสบการณ์
คล้ายๆ กันมาเหมือนกันมั้ง... รู้สึกเหมือนย้อนเวลาไป
เมื่อสิบปีก่อน สมัยยังเด็ก ยังอ่อนโลก อะไรๆ ก็ดูตื่นตา
ตื่นใจไปหมด

อีกอย่างทำให้ระลึกถึงความรู้สึกก่อนจะจากญี่ปุ่น เมื่อสามปีก่อน... มันซับซ้อนบอกไม่ถูก ทั้งดีใจที่ได้กลับเ้มืองไทยสักที ทั้งเสียใจที่ต้องจากญี่ปุ่น
บวกความผูกพัน ความคาดหวังต่ออนาคต ฯลฯ ไว้จะรออ่านตอนต่อไป :)

DJ