24 March 2005

รำลึกความหลัง (3)

หลังจากนั้นไม่นานก็ได้ไปเจออาจารย์ เจอครั้งแรกก็ดูท่าทางแกเป็นคนใจดี เห็นยิ้มตลอดเวลา ที่จริงแกก็เป็นคนใจดีแหละ คือไม่จู้จี้จุกจิกในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อย่างที่อาจารย์บางคนเป็น เช่นกำหนดเวลาว่าต้องมีแล็บกี่โมง กลับกี่โมงอะไรทำนองนั้น อาจารย์แกไม่สนใจเรื่องพวกนี้เลย ขอแค่มาแล็บ แล้วก็ทำงานในส่วนของตัวเองให้ดีพอก็ใช้ได้แล้ว แต่จะว่าแกใจดีเกินไปก็ไม่ถูก เพราะมีเวลาโหดเหมือนกัน หุๆๆ วันนั้นอาจารย์แกก็พาไปดูห้องแล็บ ซึ่งมีห้องเล็กๆ อยู่สามห้อง ห้องแรกเป็นห้องของนักเรียนปริญญาเอก ซึ่งมีกันอยู่สองคน ห้องที่สองเป็นห้องของนักเรียนปริญญาโท ซึ่งมีอยู่สี่คน (ปีหนึ่ง สองคน, ปีสอง ที่กำลังจะจบอีกสองคน) ห้องที่สามเป็นห้องรวมมีนักเรียนปีสี่อยู่สี่คน แล้วก็มีเครื่องตั้งเรียงรายไว้ สมัยนั้นแล็บยังนิยมใช้ยูนิกซ์ คอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่จึงมักจะเป็นเครื่องของซัน เครื่องที่เป็นพีซีก็จะลง FreeBSD ไว้ ทั้งแล็บมี Windows ให้ใช้เครื่องเดียวสำหรับเวลาจำเป็นเท่านั้น ตอนนั้นตัวเองยังนิยม Windows อยู่ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรมาก เพราะตั้งแต่เรียนปีสองมา ก็ใช้ SunOS มาเป็นส่วนใหญ่ ทำให้พอใช้เป็นบ้าง แต่ว่าก็ต้องมันศึกษาเพิ่มเติมเยอะเหมือนกัน เพราะตอนอยู่จุฬาฯ ใช้ยูนิกซ์สำหรับเขียนโปรแกรม ส่งเมล์ แล้วก็เล่นเว็บเท่านั้น แต่ที่นี่ต้องใช้ยูนิกซ์ทำทุกอย่าง ทำให้ต้องศึกษาเองพอสมควร ทำไปทำมาเลยกลายเป็นหลงรักยูนิกซ์ไปซะแล้ว แต่อย่างไรก็ดี หน้าที่ที่สำคัญที่สุดในตอนนั้น ก็คือการเรียนภาษาญี่ปุ่น อาจารย์บอกไว้ก่อนเลยว่า หกเดือนแรกนี้ยังไม่ต้องทำอะไรหรอก ให้ตั้งใจเรียนภาษาญี่ปุ่นให้เต็มที่ก็พอแล้ว แต่ก็ไม่วายทิ้งท้ายว่า ถ้ามีเวลาว่างก็อ่านหนังสือเกี่ยวกับ AI ไว้หน่อยล่ะกันนะ

พูดถึงการเรียนภาษาญี่ปุ่น เนื่องจากเราได้ทุนผ่านทางสถานทูต จึงมีคอร์สเรียนภาษาญี่ปุ่น 6 เดือนโดยอัตโนมัติ เรียกว่าคอร์ส intensive คือเรียนทุกวันตั้งแต่เก้าโมงเช้า ถึงบ่ายสามโมง เหมือนเด็กนักเรียนประถม คอร์ส intensive ที่ว่านี้ถือเป็นสิทธิพิเศษของนักเรียนที่ได้ทุนผ่านสถานทูต เพราะคนที่ได้ทุนจากมหาวิทยาลัยโดยตรงจะไม่ได้เรียนคอร์สนี้ แต่จะสามารถเรียนคอร์สภาษาญี่ปุ่นต่างๆ ที่เปิดสอนได้ โดยจะเรียนน้อยกว่ามาก แค่สัปดาห์ละสองครั้ง ครั้งละชั่วโมงครึ่งเท่านั้น และในบรรดาคนไทยที่มารอบนี้ทั้งหมด 5 คน ปรากฏว่ามีเราคนเดียวที่จะได้เรียน ตอนแรกก็คิดว่าน่าจะเหงาเหมือนกันนะ แต่ทำไปทำมาพี่ต่อกับพี่ลัดดาก็สามารถขออาจารย์มาเรียนคอร์สเดียวกับเราได้ (โดยแล็บจ่ายเงินค่าเรียนให้) ส่วนอีกสองคนคือ พี่กระแต อาจารย์ไม่สนับสนุนให้เรียนภาษาญี่ปุ่นเท่าไหร่นัก โดยให้เหตุผลว่าใช้ภาษาอังกฤษก็พอแล้ว ส่วนพี่ชัยต้องเข้าเรียนปริญญาโทคอร์สภาษาอังกฤษเลย ทำให้ไม่สามารถมาเรียนภาษาญี่ปุ่นเต็มเวลาได้

คอร์สภาษาญี่ปุ่นเหล่านี้จัดสอนโดยศูนย์นักเรียนต่างชาติ โดยอาจารย์ส่วนใหญ่จะเป็นอาจารย์พิเศษซึ่งทำงานพาร์ทไทม์ มีอาจารย์ประจำอยู่ไม่กี่คน หรือถ้าจะพูดให้เจาะจงอาจารย์พิเศษที่มาสอนภาษาญี่ปุ่นนั้น ก็คือแม่บ้านชาวญี่ปุ่นซึ่งจะมาสอนภาษาสัปดาห์ละประมาณสองหรือสามวัน แต่ก็ไม่ใช่ว่าแม่บ้านทั่วๆ ไป จะมาสอนได้ทุกคน เพราะคนที่จะมาสอนภาษาญี่ปุ่นได้ จะต้องมีใบประกาศนียบัตรซึ่งต้องไปเรียน แล้วสอบผ่านมาก่อน คอร์ส intensive คราวที่เราเรียนนั้น เขาแบ่งออกเป็นสองห้อง คือห้อง A สำหรับคนที่ยังไม่เคยเรียนมาก่อน กับห้อง B สำหรับคนที่เรียนมาบ้างแล้ว เราก็ได้อยู่ห้อง A ตามคาด ในห้องมีนักเรียน 12 คน มาจากประเทศต่างๆ กัน ทั้งเม็กซิโก ชิลี จีน อียิปต์ ฝรั่งเศส โครเอเชีย ฟิลิปปินส์ บราซิล พม่า และเป็นไทยสามคน ชาวไทยเลยกลายเป็นมหาอำนาจในห้องเรียน หุๆๆ

การเรียนนั้นอาจารย์จะสอนโดยพยายามไม่พูดภาษาอื่นเลย นอกจากภาษาญี่ปุ่น ท่าทาง และรูปภาพ เวลานักเรียนไม่เข้าใจอะไรซักอย่าง อาจารย์แกก็จะพยายามทำท่าทำทาง เพื่ออธิบายความหมายของศัพท์ที่พูดถึงจนกระทั่งเราเข้าใจได้ จะไม่แปลศัพท์นั้นเป็นภาษาอังกฤษเพื่ออธิบายความหมาย เมื่อผ่านการเรียนแบบนี้ เรารู้สึกทึ่งกับวิธีการสอนภาษาแบบนี้มาก เพราะโดยส่วนตัวเชื่อว่าไม่มีคำในภาษาๆ หนึ่งซึ่งจะมีความหมายเหมือนกับคำอีกคำหนึ่งในอีกภาษาหนึ่ง อย่างมากก็แค่มีความหมายใกล้เคียง หรือสามารถใช้สื่อความหมายเดียวกันได้ในบางกรณี การเรียนภาษาหนึ่งโดยเทียบความหมายกับอีกภาษาหนึ่ง อาจจะทำให้เราไม่สามารถใช้คำในภาษาใหม่ได้ตรงกับความหมายที่แท้จริงของคำนั้นได้ นอกจากนี้ใช่ว่าทุกคนจะรู้ภาษากลางเท่าเทียมกัน ตัวอย่างที่เห็นได้ง่ายที่สุด ก็คือเพื่อนคนพม่า แกพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ ทำให้ตอนแรกคุยกันไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่ จนกระทั่งปลายๆ คอร์สจึงคุยกันด้วยภาษาญี่ปุ่น ซึ่งเริ่มเรียนมาพร้อมๆ กัน ทำให้เข้าใจกันได้ง่ายกว่าใช้ภาษาอังกฤษ

ป.ล. ช่วงนี้คงเขียนข้ามๆ ตามที่นึกออก เพราะรู้สึกว่าความจำไม่ค่อยอยู่กับร่องกับรอยเท่าไรนัก

3 comments:

Anonymous said...

สุดยอดจริงๆ ครับ
พี่ฝนเริ่มจากศูนย์เหรอเนี่ย

Anonymous said...

หมายถึงภาษาญี่ปุ่นเหรอ ?
ใช่แล้ว เริ่มเรียนจากศูนย์

Anonymous said...

จากศูนย์ จนกลายเป็นหนึ่งในสุดยอดของโตโกไดได้ เจ๋งจริงๆ