09 January 2005

SuSE Linux 9.2

เห็นข่าวจาก OSNews.com ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ว่า Novell ปล่อย SuSE รุ่นใหม่ออกมาให้ดาวน์โหลดได้แล้ว โดยมีอิมเมจให้โหลดได้สองแบบ คือ อิมเมจขนาดเล็กประมาณ 60MB สำหรับเขียนลงซีดี และติดตั้งผ่านเน็ตเวิร์ค กับอีกแบบหนึ่งเป็นอิมเมจรุ่นเต็ม สำหรับเขียนลงดีวีดี ขนาดประมาณ 3GB ด้วยความอยากลอง เมื่อวานก็ไปโหลดอิมเมจขนาดเล็กมาก่อน เพราะ mirror แถวนี้ยังโหลดกันไม่เสร็จ เลยยังไม่มีดีวีดีให้โหลด ปรากฏว่าลองแล้วมีปัญหาขาดๆ เกินๆ ซึ่งเกิดจากปัญหาเดิม คือ mirror แถวนี้ยังโหลดไม่เสร็จ ทำให้หา package ไม่เจอบ้าง จะให้ใส่ ip ของ ftp server บ้าง ครั้นจะใช้ mirror นอกญี่ปุ่นก็คิดว่าคงจะเสียเวลานาน เลยหยุดรอก่อนล่ะกัน วันนี้ลองดูใหม่ ปรากฏว่ามีดีวีดีให้โหลดแล้ว (เร็วด้วย ประมาณ 700kb/s) เลยถือโอกาสโหลดดีวีดีมาเลย จะได้ไม่ต้องเสียเวลาติดตั้งผ่านเน็ต (ในความเป็นจริงแล้วไม่ถูกหรอก เพราะลงจากเน็ตจะประหยัดทรัพยากรกว่า แต่ด้วยความขี้เกียจ เลยโหลดดีวีดีทิ้งไว้ แล้วลงจากดีวีดี ง่ายดี)

เวลาโหลด ก็ใช้ wget เลยทำให้ได้ความรู้ใหม่ว่า wget มีการกำหนดขนาดไฟล์ใหญ่สุดไว้ด้วย เพราะว่าโหลดไปได้ประมาณ 2GB แล้วมันก็ตัดไป พร้อมกับ error ว่า File size limit exceeded ตอนแรกก็คิดไปก่อนว่า มีปัญหาที่ reiserfs ลองดูแล้วก็ไม่ใช่ ลองใช้กูเกิลหาดู เห็นมีคนบอกว่าเป็นปัญหาของ wget ต้องไปแก้คอนฟิก แต่ด้วยความขี้เกียจ (อีกแล้ว) ก็เลยใช้ curl โหลดแทน ก็โหลดต่อเนื่องกันได้ด้วยดี ไม่มีปัญหาอะไร (curl ใช้ -C - กำหนดให้โหลดต่อจากไฟล์ที่มีอยู่เดิม) จนสุดท้ายสามารถใช้ nautilus เขียนลง dvd-rw ได้อย่างเรียบร้อย

จากนั้นก็เริ่มติดตั้ง วิธีการติดตั้งยังเหมือนเดิม แต่ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่า ทำไมโปรแกรมติดตั้ง มันดูทำงานเร็วขึ้นกว่าเดิมก็ไม่รู้ (เทียบกับ 9.1) ดูรื่นไหลกว่าเดิมมาก ไม่มีสะดุด หรือติดขัดอะไรเลย แถมยังสามารถเลือก Gnome ได้ด้วย ถูกใจดี ลงเสร็จเรียบร้อย พวกฮาร์ดแวร์ ก็รู้จักทุกอย่าง (เดิมใช้ gentoo อยู่ ก็ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว) ใช้เวลาติดตั้งประมาณ 20-30 นาทีได้มั้ง พอบูทใหม่ ก็ใช้งานได้ราบรื่นดี จะทำให้อ่านภาษาไทย ก็ไปเอาฟอนต์ภาษาไทย จากอีกพาร์ติชันหนึ่งมา แต่ว่าติดตั้งฟอนต์โดยใช้ nautilus ไม่เป็น หาโปรแกรมของ SuSE ก็ไม่เห็นมี เลยเช็ค /etc/fonts/fonts.conf แล้วก็เอาฟอนต์ไปวางไว้ที่ /usr/share/fonts ตามปกติ พอรัน fc-cache ก็ใช้ได้ทันที ได้ดั่งใจดี เพราะไฟล์คอนฟิกทั้งหลาย ยังอยู่ที่เดิมตามปรกติ (ยกเว้น Gnome เขาเอาไปไว้ที่ /opt/gnome ประมาณว่า Gnome ยังไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของ SuSE ) แต่ตอนนี้ Gnome ยังเป็นรุ่น 2.6 อยู่เลย อยากได้ 2.8 จัง ไว้ค่อยหาทางเอามาลงอีกที แต่ที่จริงใช้รุ่นนี้ไปก็ได้แหละ เพราะดูเหมือน SuSE จะลง patch ไว้ให้แล้วหลายๆ อย่าง เช่น gnome-volume-manager ก็มีให้ใช้แล้ว แล้วก็ไม่รู้ทำไม รู้สึกว่าฟอนต์บน SuSE ดูสวยกว่าบน Gentoo คงต้องทำอะไรไว้แน่เลย

สรุปว่า SuSE Linux 9.2 เป็นดิสตริบิวชันที่น่าใช้ทีเดียว มีการปรับปรุงขึ้นมามากเมื่อเทียบกับ 9.1 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มี Gnome ให้เลือกลงได้เลย นอกจากนี้ยังสามารถปรับแต่งเพิ่มเติมได้ง่าย ไม่โดนบังคับให้ใช้เฉพาะโปรแกรมที่กำหนดเท่านั้น ตอนนี้เลยมีดิสตริบิวชันในใจ เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งอัน จากที่มีอยู่แล้ว 3 อัน คือ

  1. Gentoo มีข้อดีตรงความเรียบง่าย และระบบจัดการแพคเกจที่มีประสิทธิภาพสูงมาก แถมยังมีแพคเกจใหม่ๆ ให้ใช้ได้ทันใจ แต่ก็มีข้อเสียตรงที่เสียเวลาติดตั้ง และปรับแต่งค่อนข้างนาน (อย่างน้อย 2-3 วัน) แต่เมื่อติดตั้งเสร็จ สามารถใช้ไปได้เรื่อยๆ โดยไม่ต้องทำอะไรเลย ทำให้ตอนนี้เป็นอันดับหนึ่งในใจอยู่
  2. Ubuntu ได้ข้อดีจาก Debian และระบบติดตั้งที่ลดความยุ่งยากในการปรับแต่งไปเยอะ สามารถติดตั้งใช้งานได้รวดเร็ว และปรับแต่งเพิ่มเติมได้ง่าย แต่ก็มีข้อเสียเรื่องความใหม่ของแพคเกจ เช่น ยังใช้ XFree86 4.3 อยู่เลย (ที่จริงก็คงไม่ต่างกันมากหรอกนะ)
  3. TLE มีข้อดีสำหรับคนที่ต้องการใช้แค่ภาษาไทยกับอังกฤษเป็นหลัก ได้รับการปรับแต่งมาอย่างดี ใช้งานง่าย แต่มีข้อเสียตรงที่เป็น Fedora Core ซึ่งไม่ชอบ เพราะรู้สึกไปเองว่า ไม่สามารถปรับแต่งได้ตามใจ (ถ้าใช้จริงๆ ก็คงทำได้แหละ แต่ขี้เกียจเปลี่ยนตัวเองแล้ว) ทำให้ไม่ค่อยได้ใช้ TLE เท่าไหร่

ว่าแต่ต้องลองใช้ก่อน ถึงจะจัดอันดับได้ ว่าควรจะให้ SuSE อยู่ตำแหน่งไหน สุดท้ายมีภาพมาให้ดูด้วย

หมายเหตุ

หลังจากลองปรับวิธี hinting บน Gentoo อีกนิดหน่อย ก็ได้ฟอนท์ภาษาไทย หน้าตาเหมือนบน SuSE ทั้งนี้เพราะ Gentoo เปิด Bytecode interpreter ไว้เป็นค่าโดยปริยาย แต่ฟอนท์ภาษาไทยจะดูสวยกว่าถ้าใช้ autohinting เลยลองไปกำหนดค่าใน fonts.conf ก็ได้หน้าตาเหมือนกัน

No comments: